IAMS TH
The Importance of Fish Oil in Kitten Food
The Importance of Fish Oil in Kitten Food

adp_description_block392
ทำไมต้องมีน้ำมันปลาในอาหารลูกแมว

  • แบ่งปัน


เราใส่น้ำมันปลาลงในอาหารลูกแมวไอแอมส์™ ชนิดเม็ดเพื่อช่วยบำรุงสุขภาพผิวหนังและขนให้เจ้าเหมียว อ่านข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์จากน้ำมันปลา เนื้อปลา หน้าที่ และคุณประโยชน์ที่มีต่อลูกแมวของคุณ รวมถึงสาเหตุที่น้ำมันปลาเป็นองค์ประกอบสำคัญในอาหารลูกแมวไอแอมส์™ ชนิดเม็ด

 

น้ำมันปลาคืออะไร ?

น้ำมันปลาคือสารสกัดที่ได้จากปลา โดยมีส่วนประกอบเป็นไขมันพิเศษบางชนิด เนื้อปลาเป็นแหล่งน้ำมันปลาธรรมชาติที่ไอแอมส์™ ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสำหรับลูกแมวชนิดเม็ด

 

คุณค่าด้านโภชนาการของน้ำมันปลา

น้ำมันปลาที่ได้จากปลาน้ำลึกและเย็นจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่ กรดไขมันเป็นองค์ประกอบย่อยของไขมัน และกรดไขมันโอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง น้ำมันปลามีกรดไขมันชนิดพิเศษซึ่งมีโอเมก้า-3 แบบสายยาวอย่าง กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซะอีโนอิก (DHA) อยู่เข้มข้น

กรดไขมันในอาหารลูกแมวจะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างเนื้อเยื่อและมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ มากมาย ตัวอย่างเช่น เยื่อบุเซลล์สัตว์ที่พบในผิวหนังก็มีกรดไขมัน กรดไขมันโอเมก้า-3 มีหน้าที่สร้างสารประกอบที่เสริมสร้างสุขภาพผิวหนังให้แข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อผสมกับกรดไขมันโอเมก้า-6 (พบในวัตถุดิบทั่วไป เช่น ไขมันไก่ หรือน้ำมันข้าวโพด) ในอัตราส่วน 5:1 หรือ 10:1

อาหารลูกแมวชนิดเม็ดทุกสูตร อย่างเช่น ไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สำหรับลูกแมว มีน้ำมันปลาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของกรดไขมันโอเมก้า-3

 

ผลของน้ำมันปลาต่อผิวหนังและขนของลูกแมว

งานวิจัยโดยนักโภชนาการที่ไอแอมส์™ พบพัฒนาการอย่างมีนัยสำคัญต่อผิวหนังและขนของแมวที่ได้รับอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ในปริมาณที่สมดุลเมื่อเทียบกับอาหารที่มีอัตราส่วนไม่สมดุล

การให้อาหารที่ครบถ้วนและสมดุล รวมถึงสมดุลระหว่างกรดไขมันโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยเสริมสร้างผิวหนังและขนให้มีสุขภาพดี เมื่อให้แมวกินน้ำมันปลาแล้วพบว่าแมว

  • ขนร่วงลดลง
  • ขนสวยงามขึ้น
  • ขนเงางามขึ้น
  • ขนหนาขึ้น
  • สีสวยขึ้น
  • ขนอ่อนนุ่มลง

 

  • รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนสำหรับแมว
    รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนสำหรับแมว
    adp_description_block29
    รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนแมว

    • แบ่งปัน

    แมวเลี้ยงง่าย อยู่ง่าย ไม่ต้องเอาใจใส่อะไรมากมาย ชุดความเชื่อเหล่านี้ไม่เป็นความจริง! แม้จะพึ่งพาตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่แมวเหมียวยังคงต้องการการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การรักษาพยาบาล และการดูแลป้องกัน โดยแมวทุกตัวควรได้รับการฉีดวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและวัคซีน FVRCP เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสติดเชื้อร้ายแรง และลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
     

    วัคซีนถูกพัฒนามาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง การฉีดวัคซีนให้แมวมักจะพิจารณาจากอายุ สุขภาพโดยรวม การใช้ชีวิต และสายพันธุ์ โดยวัคซีนสำหรับแมวแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ วัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก วัคซีนหลักจำเป็นสำหรับแมวทุกตัว ส่วนวัคซีนทางเลือกจะฉีดให้กับแมวหลังจากพิจารณาสถานการณ์บางอย่างแล้ว
     

    วัคซีนแต่ละชนิดและช่วงวัยที่เหมาะสมของแมว

    การฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยปกป้องแมวจากการตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายแรงได้ โดยวัคซีนสำคัญที่ลูกแมวทุกตัวควรได้รับมีดังนี้

    1. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

    วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าต้องฉีดเป็นประจำทุกปีหรือทุก ๆ 3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของวัคซีนที่คุณเลือก เพื่อปกป้องลูกแมวตัวน้อยจากไวรัสเรบีส์ที่อันตราย เชื้อชนิดนี้ไม่ได้พบแค่ในหมาแมวเท่านั้น แต่พบได้ในคนด้วย โดยแพร่กระจายผ่านการกัดหรือข่วนจากสัตว์ที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการก้าวร้าว สับสน และมีอาการกลัวน้ำหลังผ่านระยะฟักตัว โรคพิษสุนัขบ้าส่งผลร้ายแรงต่อทั้งสัตว์และมนุษย์ ไม่มียารักษา อัตราเสียชีวิตก็สูง การฉีดวัคซีนป้องกันจึงจำเป็นมาก

    1. วัคซีน FVRCP

    ต่อกันด้วยวัคซีนรวมที่ช่วยป้องกันแมวจากไวรัสสามชนิด ได้แก่ ไวรัสไข้หัดแมว รวมถึงเชื้อ Feline Virus Rhinotracheitis (FVR) และ Feline Calicivirus (FCV) ซึ่งก่อให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดในแมว ทั้งนี้แนะนำให้ฉีดวัคซีน FVRCP เป็นประจำทุกปี

    1. วัคซีน FeLV

    วัคซีน FeLV เป็นวัคซีนป้องกันไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ และอุจจาระ โดยแมวอาจติดเชื้อขณะเลียขนหรือจากการใช้ชามอาหารชามน้ำร่วมกับแมวที่ติดเชื้อ ไวรัสร้ายแรงนี้อาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคโลหิตจาง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรฉีดวัคซีน FeLV ให้แมวตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ วัคซีนนี้ประกอบด้วย 2 โดส โดยเว้นระยะห่างกัน 3 – 4 สัปดาห์สำหรับลูกแมว และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อแมวอายุอย่างน้อย 16 สัปดาห์

    1. วัคซีน FPV

    วัคซีน FPV จะช่วยปกป้องแมวจากโรคไข้หัดแมว โดยลูกแมวควรได้รับการฉีดวัคซีน FPV เมื่อมีอายุ 6 – 8 สัปดาห์ และฉีดทุก ๆ 3 – 4 สัปดาห์จนกระทั่งอายุ 16 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ฉีดกระตุ้นในช่วงอายุ 1 – 2 ปี

    1. วัคซีนรวม 4 โรค

    วัคซีน F4 หรือ FVRCCP พัฒนาขึ้นเพื่อต่อสู้กับโรคหวัดแมว การติดเชื้อไวรัสคาลิไซในแมว โรคไข้หัดแมว และโรคติดเชื้อคลาไมเดียในแมวซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนของแมว อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ตาในระยะเริ่มแรกด้วย ลูกแมวควรได้รับวัคซีนชนิดนี้เมื่อมีอายุ 8, 12 และ 16 สัปดาห์ จากนั้นฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุครบ 1 ปี และฉีดใหม่ทุก ๆ 3 ปี

    1. วัคซีนรวม 5 โรค

    วัคซีน F5 หรือ Fevac 5 เป็นวัคซีนรวมที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของลูกแมวเพื่อรับมือกับไวรัส 5 ชนิด การฉีดวัคซีนชนิดนี้จะช่วยให้ลูกแมวตัวน้อยปลอดภัยจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ
     

    ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

    หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว ลูกแมวของคุณอาจรู้สึกไม่สบายตัวและแสดงอาการผิดปกติเล็กน้อย เนื่องจากร่างกายกำลังสร้างกลไกป้องกันเพื่อกำจัดไวรัสร้ายแรง โดยผลข้างเคียงที่พบได้จากการฉีดวัคซีนมีดังนี้

    1. อ่อนเพลีย เซื่องซึม

    2. อยากอาหารลดลง

    3. อาเจียน

    4. มีไข้ 

    5. ท้องเสีย

    6. มีอาการบวมหรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด

    การฉีดวัคซีนป้องกันถือเป็นหนึ่งในการดูแลที่สำคัญ มันช่วยให้แมวมีสุขภาพแข็งแรง มีพลัง และกระฉับกระเฉง ขอแนะนำให้พ่อแม่แมวทุกคนวางแผนตารางการฉีดวัคซีนอย่างเหมาะสม โดยสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพิ่มเติมได้