IAMS TH
Why Antioxidants Are Good For Your Cat
Why Antioxidants Are Good For Your Cat-mob

adp_description_block366
ทำไมสารต้านอนุมูลอิสระถึงดีกับแมวของคุณ

  • แบ่งปัน

 

สารต้านอนุมูลอิสระดีต่อแมวของคุณ เนื่องจากมีส่วนสำคัญในการลดความเสียหายต่อเซลล์ อย่างเช่น เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน โดยธรรมชาติแล้วสารต้านอนุมูลอิสระจะมีสารที่ช่วยชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชันของโมเลกุลเซลล์ แถมยังช่วยในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและการจดจำวัคซีนในแมว 

ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในแมวที่ต้องรับวัคซีน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ นอกจากนี้แล้วสารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยลดการเสื่อมสภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกันในแมวสูงวัยช่วยให้เค้ากลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงเหมือนช่วงวัยรุ่น

 

สารต้านอนุมูลอิสระในอาหารแมวไอแอมส์™

 

ตามธรรมชาติแล้วสารต้านอนุมูลอิสระพบได้ในสัตว์และพืชอย่างผักและผลไม้ สารต้านอนุมูลอิสระที่พบบ่อย ได้แก่ วิตามินซี วิตามินอี และสารประกอบแคโรทีนอยด์ (รวมถึงลูทีนและเบต้าแคโรทีน) สารต้านอนุมูลอิสระหลาย ๆ ตัวรวมกันในปริมาณปานกลาง อาจมีประโยชน์กว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดเดียวในปริมาณสูง

 

สารต้านอนุมูลอิสระทำงานอย่างไร ?

 

ระหว่างที่เซลล์ทำงานเป็นปกติภายในร่างกาย เซลล์จะสร้างโมเลกุลที่สร้างความเสียหายชื่อว่า อนุมูลอิสระ สารชนิดนี้จะเป็นสารที่ไม่คงรูป และชอบขโมยสารประกอบจากโมเลกุลเซลล์ชนิดอื่นอย่างไขมัน โปรตีน หรือดีเอนเอ จึงถือเป็นสารที่เป็นอันตราย

ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ทำให้เซลล์ทั้งหมดเกิดความเสียหายและตายลง ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้มีชื่อว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่มีประโยชน์ เนื่องจากช่วยทำลายเซลล์ตกค้างที่ไม่มีประโยชน์ รวมถึงเชื้อโรคและปรสิตด้วย แต่เมื่อปล่อยให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นโดยไม่มีการควบคุมก็อาจส่งผลให้เซลล์ที่มีสุขภาพดีเสียหายหรือโดนทำลายได้เช่นกัน

สารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการทำลายเซลล์ในวงกว้าง ให้สารประกอบเพื่อคงรูปอนุมูลอิสระ และสารต้านอนุมูลอิสระจะกลับไปยังผิวเซลล์เพื่อคงรูปแทนที่จะทำลายสารประกอบเซลล์ตัวอื่น

เมื่อมีสารต้านอนุมูลอิสระไม่เพียงพอที่จะควบคุมปฏิกิริยาออกซิเดชัน อนุมูลอิสระจะเริ่มทำลายเซลล์ที่มีสุขภาพดีและนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น อนุมูลอิสระทำลายเซลล์ภูมิคุ้มกันจะเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อได้

 

สารต้านอนุมูลอิสระและระบบภูมิคุ้มกันของแมวคุณ

 

เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระมีหน้าที่สำคัญในการทดความเสียหายของเซลล์ เช่น เซลล์ที่ประกอบกันเป็นระบบภูมิคุ้มกัน จึงมีงานวิจัยเพื่อศึกษาประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระบางตัวต่อระบบภูมิคุ้มกันของแมว ผลการศึกษาพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มของแมวมีความแข็งแรง

นอกจากนี้ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า ประโยชน์ที่สารต้านอนุมูลอิสระแต่ละตัวมีต่อระบบภูมิคุ้มกันนั้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้น สารต้านอนุมูลอิสระเพียงชนิดเดียวในปริมาณสูงจึงมีประโยชน์น้อยกว่าสารต้านอนุมูลอิสระหลาย ๆ ทำงานร่วมกัน

 

แหล่งที่มาของสารต้านอนุมูลอิสระ

 

วิตามินอี (โทโคฟีรอล) สารสกัดจากพืช ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ทีในระบบภูมิคุ้มกันให้เหมาะสม

วิตามินรวม (เบต้าแคโรทีน) ข้าวโพดบด ผลพลอยได้จากไก่ และไขมันไก่ รักษาสมดุลของเซลล์ต่าง ๆ ในเลือด เพิ่มปริมาณแอนติบอดีในเลือด และเพิ่มการจดจำวัคซีน

 

สารต้านอนุมูลอิสระและความชราในแมว

 

งานวิจัยชิ้นใหม่ยังศึกษาผลกระทบระหว่างความแก่ชราและการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ซึ่งผลการศึกษาพบว่า เมื่อแมวมีอายุมากขึ้น การตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกันจะเสื่อมสภาพลง การเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยแก้ไขความเสื่อมสภาพของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มาจากอายุที่มากขึ้นได้ และคืนสุขภาพที่ดีแบบแมววัยโตเต็มวัยให้เค้า

 

  • How to Keep Your Cat’s Urinary Tract in Tip-top Shape
    How to Keep Your Cat’s Urinary Tract in Tip-top Shape
    adp_description_block73
    ทำความเข้าใจโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

    • แบ่งปัน

    โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวคืออะไร?

    กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นโรคที่ไม่ได้พบบ่อยในแมว และแมวทุกตัวที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจจะไม่ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (NCBI) มีแมวเพียง 1 – 2% เท่านั้นที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโรคที่พบไม่บ่อย แต่หากน้องแมวมีอาการก็จำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม
     

    อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

    เนื่องจากเป็นโรคที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความไม่สบายอย่างรุนแรง เจ้าของจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับอาการหรือสัญญาณเตือนต่าง ๆ ของโรคให้ดี ซึ่งอาการที่พบได้มีดังนี้

    • ปัสสาวะบ่อยแต่มีปริมาณน้อย
    • มีเลือดปะปนในปัสสาวะ
    • เลียบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่าปกติ
    • ส่งเสียงร้องออกมาขณะปัสสาวะ
    • ปัสสาวะนอกกระบะทราย

    การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

    ในการวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สัตวแพทย์จะทำการทดสอบตัวอย่างปัสสาวะเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย โดยคุณหมอจะดูดปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน เมื่อตรวจตัวอย่างปัสสาวะแล้ว คุณหมอก็จะทำการแยกเชื้อแบคทีเรียเพื่อศึกษาต่อไป ขั้นตอนนี้เรียกว่าการเพาะเชื้อและการทดสอบความไวของเชื้อต่อยา ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอกำหนดยาที่เหมาะสมต่อการรักษาได้
     

    การติดเชื้อครั้งแรกหรือการติดเชื้อแบบเฉียบพลันมักจะรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง อย่างไรก็ตาม หากแมวของคุณมีอาการป่วยจากการติดเชื้อเรื้อรัง สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อเริ่มให้ยาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
     

    สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

    โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

    • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
    • การสอดใส่สายสวนปัสสาวะ
    • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
    • ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

    การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

    แม้ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ยากและพบไม่บ่อย แต่ทางที่ดีก็ควรดูแลน้องแมวอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ โดยการดูแลป้องกันที่แนะนำมีดังนี้

    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแมวดื่มน้ำเพียงพอ แนะนำให้ทำความสะอาดชามน้ำเป็นประจำและหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกวัน
    • ทำความสะอาดกระบะทรายวันละสองครั้ง และควรเปลี่ยนทรายใหม่ทุกสองสัปดาห์
    • หมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและสีของปัสสาวะ หากพบการความผิดปกติควรปรึกษาสัตวแพทย์
    • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคที่อาจนำไปสู่ปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบ หากแมวของคุณมีอาการของโรคดังกล่าว ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที
    • สำหรับแมวสูงวัยและแมวที่มีน้ำหนักตัวเกิน อาจมีปัญหาในการขยับเขยื้อนตัวและไม่สามารถเลียตัวทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง เจ้าของอาจต้องช่วยดูแลเรื่องความสะอาดมากเป็นพิเศษ

    สามารถรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวด้วยตนเองได้หรือไม่?

    การดูแลรักษาน้องแมวที่มีอาการของโรคนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การให้กินน้ำแครนเบอร์รี แอปเปิลไซเดอร์ และซุปโครงกระดูก ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสามารถบรรเทาอาการของโรคได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้น้องแมวหายขาด และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะเป็นซ้ำก็เพิ่มมากขึ้น ทางที่ดีจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

Close modal