IAMS TH
cat article
cat article

adp_description_block429
วิธีดูแลลูกแมวแรกเกิด

  • แบ่งปัน

ลูกแมวตัวน้อยเต็มไปด้วยความน่ารัก และเหมาะสำหรับการเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านที่สุด แม้ว่าการมีลูกแมวจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เจ้าของควรทำความเข้าใจความต้องการที่แตกต่างไปตามช่วงวัย และวิธีการดูแลเจ้าตัวน้อยอย่างถูกวิธีด้วย สำหรับทาสแมวมือใหม่อาจเกิดข้อสงสัยว่า “แล้ววิธีการดูแลลูกแมวที่ถูกต้องเป็นอย่างไรกัน?” ซึ่งไอแอมส์ได้รวบรวมคำตอบและเทคนิคดี ๆ อีกมากมายมาให้แล้ว รับรองเลยว่าการดูแลลูกแมวแรกเกิดจะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณเลยหล่ะ

 

อะไรคือเหตุผลที่การดูแลลูกแมวมีความสำคัญมาก?

การดูแลลูกแมวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะเติบโตมาอย่างแข็งแรง ในช่วงวัยนี้พวกเค้ายังต้องปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ การอยู่เคียงข้างพวกเค้าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

 

อะไรคือความหมายที่แท้จริงของการเลี้ยงดูลูกแมวให้เติบโต?

ลูกแมวตัวน้อยกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตั้งแต่วันแรกที่คุณพาพวกเค้าเข้าบ้าน แม้การเลี้ยงดูลูกแมวอาจเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับทาสแมวมือใหม่ แต่มันก็มีช่วงเวลาที่สนุกสนาน ซึ่งช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคุณและเจ้าตัวน้อยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้

 

อะไรคือสิ่งสำคัญในการดูแลลูกแมวตัวน้อย?

สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลลูกแมวประกอบไปด้วยปัจจัยเหล่านี้:

  • การดูแลความสะอาด:

    การรักษาความสะอาดถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรทำความสะอาดเบาะนอน หรือพื้นที่ที่ลูกแมวอยู่เป็นประจำ
  • การให้อาหารคุณภาพดี:

    ลูกแมวต้องการสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุล เพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างเหมาะสม เราขอแนะนำอาหารแมวจากไอแอมส์™ ที่ได้รับการพัฒนาสูตรโดยสัตวแพทย์ และผลิตจากเนื้อไก่คุณภาพดี การเลือกอาหารที่ดีมีคุณภาพ จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสมอง และเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • การตรวจสุขภาพเป็นประจำ:

    ควรพบสัตวแพทย์เป็นประจำเพื่อติดตามพัฒนาการและความประพฤติกรรมของลูกแมวอย่างใกล้ชิด
  • การทำความสะอาดขน:

    ควรฝึกพวกเค้าให้คุ้นเคยกับการทำความสะอาดขนตั้งแต่ยังเป็นลูกแมว โดยเฉพาะน้องแมวขนยาว

ตามติดพัฒนาการของลูกแมวในแต่ละช่วงวัย

สำหรับทาสแมวมือใหม่ คุณอาจไม่ทันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัยของเจ้าตัวน้อย แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากตารางต่อไปนี้:

พัฒนาการลูกแมว0-2 สัปดาห์ (ช่วงแรกเกิด)2-7 สัปดาห์ (ช่วงเข้าสังคม)7-14 สัปดาห์ (ช่วงนักสำรวจ)3-6 เดือน (ช่วงเรียนรู้ความสำคัญ)6-18 เดือน (ช่วงวัยรุ่น)
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงเริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเสียงต่าง ๆเรียนรู้ที่จะเข้าสังคมเป็นช่วงวัยที่ลูกแมวกระตือรือร้นมากที่สุดเป็นช่วงวัยที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากแม่แมวหรือพี่น้องในครอกเติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงวัยนี้
 ตาของลูกแมวจะเปิดในช่วงนี้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นและการได้ยินพัฒนาอย่างเต็มที่ในสัปดาห์ที่ 4เริ่มแสดงความรักผ่านการกอดและการเลียเริ่มทำความเข้าใจและจัดลำดับความสำคัญของผู้คนรอบตัวหากยังไม่ทำหมัน จะเริ่มแสดงพฤติกรรมทางเพศ
 หากลูกแมวถูกแยกออกจากแม่หรือพี่น้อง อาจมีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวกับผู้คนและแมวตัวอื่น ๆการมองเห็นพัฒนาอย่างเต็มที่ในสัปดาห์ที่ 5 และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วสามารถใช้อุ้งเท้า ปาก ในการจับสิ่งของได้ดีขึ้น  
  เริ่มเลียขนทำความสะอาดตัวเองเริ่มเล่นไล่งับหางตัวเอง และกระโจนไปมา  
  เริ่มพัฒนานิสัยการนอน การเคลื่อนไหว และการโต้ตอบกับ   
  สิ่งต่าง ๆ รอบตัว   

เตรียมความพร้อมให้กับเจ้าลูกแมวตัวน้อย

  • ควรดูแลลูกแมวในแต่ละช่วงวัยอย่างไร?

    การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดูแลลูกแมวคือการเปลี่ยนอาหาร แมวต้องการสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเพื่อมีสุขภาพที่ดี ทาสแมวควรเลือกอาหารคุณภาพดี เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนจากการให้อาหารสูตรลูกแมวมาเป็นสูตรแมวโตเต็มวัย
  • ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากลูกแมวไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม:

    หากลูกแมวถูกละเลย และขาดการดูแลเอาใจใส่ที่ดี พวกเค้าอาจเกิดภาวะซึมเศร้า และมีร่างกายอ่อนแอ รวมถึงมีโอกาสติดเชื้อโรคร้ายสูง หากไม่ได้รับการดูแลความสะอาด
  • มีวิธีการป้องกันอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้กับลูกแมวได้?

    ในช่วงวัยลูกแมว ควรพาพวกเค้าไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์เป็นประจำ และหมั่นสังเกตสิ่งผิดปกติอย่างใกล้ชิด
  • เคล็ดลับการดูแลสำหรับทาสแมวมือใหม่

    ตามมาดูเคล็ดลับดี ๆ ที่ทาสแมวมือใหม่ควรรู้กัน :
    • หลังต้อนรับลูกแมวเข้าบ้านแล้ว ควรฝึกให้ใช้กระบะทรายทันที
    • ให้เวลาพวกเค้าทำความคุ้นเคยกับพื้นที่ส่วนตัว
    • หากลูกแมวเริ่มมีพฤติกรรมงับมือ ให้พูดอย่างจริงจังว่า “ไม่” เพื่อให้พวกเค้ารู้ว่านี่คือสิ่งที่ไม่ควรทำ
    • ให้รางวัลลูกแมวทุกครั้งเมื่อพวกเค้าเชื่อฟังคำสั่ง เป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับพวกเค้า

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลลูกแมว:

  1. ควรให้ลูกแมวนอนตรงไหนดีนะ?
  2. แนะนำให้ฝึกพวกเค้านอนบนเบาะของตัวเอง คุณอาจเตรียมผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับพวกเค้า

  3. จะดูแลลูกแมวกำพร้าที่ปราศจากแม่แมวอย่างไร?
  4. การดูแลลูกแมวกำพร้าแม่ต้องใช้ความอดทนและความตั้งใจมาก เจ้าของต้องให้อาหารผ่านขวดนม โดยต้องให้กินนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ รวมถึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และทำความสะอาดตัวพวกเค้าหลังขับถ่ายเสมอ

  5. อาหารที่ลูกแมวควรกินมีอะไรบ้าง?
  6. เมื่อลูกแมวมีอายุประมาณ 4 สัปดาห์ หรือเข้าสู่วัยหย่านม สามารถเปลี่ยนมาให้อาหารแมวไอแอมส์™ สูตรเพอร์เฟค พอร์ชันส์ คิทเท่น พรีเมียม เพท รสไก่ได้แล้ว นี่คือขั้นตอนที่ควรทำเมื่อลูกแมวของคุณเข้าสู่วัยหย่านม

    ขั้นที่หนึ่ง: เติมน้ำลงในจานทรงตื้นเพียงเล็กน้อย

    ขั้นที่สอง: ผสมอาหารแมวไอแอมส์™ กับน้ำที่เติมลงไป ทั้งนี้ควรเตรียมน้ำสะอาดแยกอีกชามให้พร้อม

    ขั้นที่สาม: เมื่อเวลาผ่านไป ให้เพิ่มปริมาณอาหารและลดปริมาณน้ำลง จนกว่าลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเพียงอย่างเดียว

    ขั้นที่สี่: แนะนำให้เริ่มจากอาหารแมวไอแอมส์™ แบบเปียก สูตรโปรแอคทีฟ เฮลท์™ สำหรับลูกแมว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นให้อาหารเม็ด

    หากทำตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว การเปลี่ยนอาหารให้ลูกแมวก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และเพื่อให้พวกเค้าเติบโตเป็นแมวที่แข็งแรง แนะนำให้เลือกอาหารแมวไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ ที่พัฒนาสูตรโดยสัตวแพทย์ รับรองเลยว่าดีต่อสุขภาพเจ้าตัวน้อยที่คุณรักอย่างแน่นอน

     

  7. เราสามารถอาบน้ำให้ลูกแมวได้ตอนอายุเท่าไหร่?
  8. ลูกแมวเรียนรู้การเลียขนทำความสะอาดตัวเองเมื่อมีอายุ 2-4 สัปดาห์ แต่เพื่อทำความสะอาดอย่างเหมาะสม คุณสามารถอาบน้ำให้ลูกแมวได้เมื่อมีอายุอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หรือปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องเพิ่มเติม

  • Does-Your-Cat-Have-Allergies-banner
    Does-Your-Cat-Have-Allergies-banner
    adp_description_block427
    วิธีช่วยเจ้าแมวอ้วนลดน้ำหนักอย่างได้ผล

    • แบ่งปัน

    ภูมิแพ้ในแมวเกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติต่อสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว หากพบว่าพวกเค้ามีท่าทางไม่สบายตัว จามอย่างต่อเนื่อง และเกาตัวเองไม่หยุด อาการเหล่านี้คืออาการแพ้ในแมวที่พบได้บ่อย

    อาการแพ้ของแมวมีหลากหลายรูปแบบ อย่างอาการคันหรืออาการระคายเคือง อาจทำให้น้องแมวเกาหรือกัดแทะตัวเองไม่หยุด แต่สำหรับอาการที่ส่งผลต่อการหายใจถือว่าร้ายแรงที่สุด และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

     หากระบุได้ว่าสารก่อภูมิแพ้ชนิดใดส่งผลกับน้องแมว เราก็สามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ และหาวิธีดูแลพวกเค้าได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

    อะไรคือสาเหตุของภูมิแพ้ในแมว?

    ขั้นตอนแรกในการรักษาโรคภูมิแพ้แมวคือค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุ โดยการไปพบสัตวแพทย์เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหาตัวกระตุ้นการแพ้ของแมว

    ภูมิแพ้ในแมวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่อาการทั้งหมดมักเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก นั่นคือภูมิแพ้น้ำลายหมัด ภูมิแพ้อาหาร และภูมิแพ้สารในสิ่งแวดล้อม(โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง)  

    • ภูมิแพ้น้ำลายหมัด

    เป็นอาการแพ้ที่พบบ่อยที่สุด มักเกิดจากการโดนหมัดกัดหรือเป็นผลข้างเคียงจากยากำจัดหมัด โดยอาการคันจะเป็นอาการที่เด่นชัดที่สุดของภูมิแพ้ประเภทนี้ หากพบว่าน้องแมวเกาหรือกัดแทะตัวเองบ่อย ๆ โดยเฉพาะบริเวณโคนหาง มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเค้ากำลังแพ้น้ำลายหมัด

    • ภูมิแพ้อาหาร

    การแพ้อาหารอาจทำให้น้องแมวอาเจียน ท้องเสีย และอาจมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะบริเวณคอและศีรษะ ในกรณีที่มีอาการรุนแรง น้องแมวอาจมีปัญหาขนร่วงเป็นหย่อม ควรรีบไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าพวกเค้าแพ้อาหารชนิดใด และขอคำแนะนำเรื่องการเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสม

    • ภูมิแพ้สารในสิ่งแวดล้อม

    การแพ้สารในสิ่งแวดล้อมอาจมีตัวกระตุ้นที่แตกต่างกัน เช่น ต้นไม้บางชนิด  ละอองเกสร และเชื้อรา น้องแมวบางตัวอาจแพ้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำหอมจากทรายแมว นอกจากนี้น้องแมวยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคผื่นผิวหนังอักเสบในแมวด้วย โดยพวกเค้าจะมีอาการคันอย่างรุนแรง ซึ่งนำไปสู่การอักเสบที่ผิวหนัง มีรอยแดง มีแผลตกสะเก็ด และขนร่วง

    อาการแพ้ของแมว

    บางอาการก็เพียงแค่สร้างความน่ารำคาญให้พวกเค้า แต่บางอาการก็เป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งนี้ลักษณะอาการและความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับชนิดของภูมิแพ้

    • ท้องเสีย

    สำหรับน้องแมวบางสายพันธุ์ที่มีอาการท้องเสีย จะมีคราบสกปรกติดอยู่บริเวณบั้นท้าย ส่วนในน้องแมวทั่วไป เราสามารถสังเกตอาการได้จากลักษณะของอุจจาระ หากพบว่าน้องแมวอุจจาระกึ่งเหลวหรืออุจจาระเหลวบ่อยเกินสองวัน ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

    หายใจลำบาก

    อาการนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจเป็นเพราะก้อนขนอุดตันในทางเดินอาหาร หรืออาจแพ้สิ่งเร้า อย่างเกสรดอกไม้ เชื้อรา และควันบุหรี่ การหายใจลำบากหรือหายใจดังยังเป็นผลมาจากความเครียดได้ด้วย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหัน และควรให้เวลาน้องแมวปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ด้วย

    • ตาแฉะ

    อาการตาแฉะหรือมีคราบน้ำตาเป็นอาการแพ้ของแมวที่เด่นชัดกว่าอาการอื่น ๆ ซึ่งอาจเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น เชื้อรา 

    หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในบ้าน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง อย่างการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียได้ด้วยเช่นกัน

    ตาแฉะ
     

    • รอยแดงและอาการคัน

    อาการคันหรือรอยแดงบนผิวหนังอาจเกี่ยวข้องกับโรคผื่นผิวหนังอักเสบในแมว โดยผิวหนังของพวกเค้าจะมีอาการบวมแดง มีแผลพุพองขนาดเล็กจากอาการระคายเคือง หรือจากอาการแพ้สิ่งเร้าภายนอก

    รอยแดงและอาการคัน
     

    การรักษาโรคภูมิแพ้แมวมีวิธีอย่างไรบ้าง?

    • ใช้แชมพูสูตรสำหรับรักษาอาการผื่นผิวหนังอักเสบโดยเฉพาะ

    หากน้องแมวมีอาการแพ้ไม่มากและมีอาการคันเพียงเล็กน้อย แชมพูประเภทนี้เป็นตัวช่วยที่ดีเลย

    • ใช้ยาสำหรับรักษาอาการคัน

    การใช้ยารักษาอาการคันและยาต้านการอักเสบที่ช่วยลดรอยแดงและบวม อย่างยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการคันอย่างรุนแรงในแมว แต่จำเป็นต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัย

    • ใช้ยากำจัดหมัด

    ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกวิธีป้องกันเห็บหมัดที่เหมาะสำหรับน้องแมวของคุณ การป้องกันนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภูมิแพ้น้ำลายหมัดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ควรทำความสะอาดบ้านเป็นประจำเพื่อตัดวงจรชีวิตของหมัด โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่มีอากาศอบอุ่น  แม้ว่าน้องแมวจะไม่มีหมัดบนตัว แต่ก็ควรใช้ยาป้องกันหมัดและถ่ายพยาธิ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหนอนพยาธิในแมว และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปรสิตตัวร้ายเหล่านี้

    • หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้

    จำกัดการให้อาหารน้องแมว โดยเลือกให้ทีละชนิดหรือทีละประเภท เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้องแมวแพ้อาหารชนิดไหน โดยส่วนใหญ่น้องแมวมักแพ้อาหารจำพวกโปรตีน ซึ่งอาหาร 3 อันดับแรก ได้แก่ เนื้อวัว (18%) เนื้อปลา (17%) และเนื้อไก่ (5%) การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้จะช่วยลดความรุนแรงของอาการแพ้ในแมวลง

    อาการภูมิแพ้ในแมว

    อาการแพ้ของแมวที่พบบ่อยที่สุดคืออาการบริเวณผิวหนัง มันอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และพบได้ในน้องแมวทุกเพศทุกวัย ทั้งนี้ในลูกแมวอาจไม่มีอาการแสดงอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความพวกเค้าจะไม่มีอาการแพ้ ดังนั้นหากพบอาการใด ๆ ต่อไปนี้ ควรรีบพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์ในทันที

    • เกา เลีย และกัดแทะผิวหนังอย่างต่อเนื่อง
    • ไถหน้าและหูไปมากับพื้นหรือกำแพง
    • ผิวอักเสบ ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น
    • ไอ จาม น้ำตาไหล และน้ำมูกไหล
    • อาเจียนหรือท้องเสียบ่อย  

    าการแพ้ของแมวแต่ละตัวอาจแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลที่เหมาะสม

     

    วิธีสังเกตและดูแลอาการภูมิแพ้ในแมว
    วิธีสังเกตและดูแลอาการภูมิแพ้ในแมว
Close modal