เมื่อพูดถึงการดูแลลูกแมวตัวน้อย สิ่งสำคัญที่ทาสแมวทุกคนต้องทำความเข้าใจคือการให้อาหารอย่างถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยของคุณจะได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ ซึ่งในบทความนี้ เราก็มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการให้อาหารลูกแมวมาฝากกัน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดปริมาณอาหารให้เหมาะสม การปรับเปลี่ยนปริมาณตามช่วงเวลา และการประเมินความต้องการของลูกแมวในแต่ละช่วงวัย สำหรับทาสแมวมือโปรหรือมือใหม่ที่ต้องการให้เจ้าตัวน้อยสุขภาพดีมีความสุขในทุกวัน ลองทำตามเคล็ดลับการให้อาหารต่อไปนี้กันได้เลย
สิ่งสำคัญในการให้อาหารลูกแมวคือการกำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับทาสแมวหลาย ๆ คน เราจึงสร้างตารางการให้อาหารแนะนำมาเพื่อช่วยคุณโดยเฉพาะ โดยในตารางนี้จะบอกปริมาณอาหารที่แนะนำต่อวันตามน้ำหนักตัวของลูกแมว
อายุ | อาหารและปริมาณที่แนะนำ |
0 – 4 สัปดาห์ | น้ำนมแม่ |
1 – 6 เดือน | ให้อาหารสูตรสำหรับลูกแมว 4 – 5 ครั้งต่อวัน |
6 – 12 เดือน | ค่อย ๆ ลดจำนวนมื้ออาหารต่อวัน |
12 เดือนขึ้นไป | ค่อย ๆ เปลี่ยนมาให้อาหารสูตรแมวโต โดยให้อาหารเปียกทั้งเช้าและเย็น ส่วนอาหารเม็ดและน้ำสะอาดต้องเข้าถึงได้ง่ายตลอดวัน |
ปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับลูกแมวจะขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัว ทั้งนี้ตารางข้างต้นเป็นเพียงคำแนะนำทั่วไป ลูกแมวของคุณอาจมีความต้องการแตกต่างออกไป คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อประเมินความต้องการของพวกเค้าเพิ่มเติมได้
ความต้องการทางโภชนาการของลูกแมวจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย และมีข้อควรคำนึงถึงเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ด้วย
เปิด 4 เคล็ดลับในการให้อาหารลูกแมวที่เจ้าของทุกคนควรรู้
การให้อาหารอย่างเหมาะสมมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและพัฒนาการของลูกแมว โดยเคล็ดลับง่าย ๆ ในการให้อาหารลูกแมวคือการทำความเข้าใจความต้องการด้านโภชนาการของลูกแมวและเลือกสูตรอาหารที่เหมาะกับช่วงวัย เนื่องจากลูกแมวมีความต้องการแตกต่างจากน้องแมวโตเต็มวัย เจ้าของจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยของคุณจะได้รับสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ
วิธีที่ดีที่สุดคือการเลือกอาหารคุณภาพดีและออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของลูกแมวโดยเฉพาะ ในหนึ่งวัน ควรให้อาหารลูกแมวประมาณ 4 – 6 ครั้งต่อวัน จนกว่าจะมีอายุประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้น จึงสามารถเปลี่ยนเป็น 3 มื้อใหญ่ต่อวันได้
ในการกำหนดปริมาณอาหารให้ลูกแมวแต่ละครั้ง ควรให้อาหารเปียกหรืออาหารเม็ดประมาณ 3 – 4 ช้อนโต๊ะต่อน้ำหนักตัว 1 ปอนด์ และควรแบ่งออกเป็นมื้อเล็ก ๆ 2 – 3 มื้อต่อวัน โดยจำเป็นต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสมสำหรับลูกแมวของคุณ
คุณสามารถให้อาหารลูกแมวได้ทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดรวมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล โดยอาหารเปียกจะช่วยให้น้องแมวได้รับน้ำเพิ่มมากขึ้น ส่วนอาหารเม็ดจะมีส่วนช่วยในการขัดฟัน ทั้งนี้คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้
ลูกแมวบางตัวอาจกินอาหารตอนกลางดึก เจ้าของจึงควรจัดเตรียมอาหารและน้ำให้เข้าถึงได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะลูกแมวในช่วงวัยเจริญเติบโต อย่างไรก็ตาม หากพบว่าพวกเค้ามีพฤติกรรมการกินมากเกินไปหรือผิดปกติ ควรปรึกษาสัตวแพทย์ในทันที
ไม่แนะนำให้เทอาหารเม็ดทิ้งไว้ข้ามคืน เนื่องจากลูกแมวมีกระเพาะขนาดเล็กและควรได้รับปริมาณอาหารที่เหมาะสม การเทอาหารเม็ดทิ้งไว้อาจทำให้พวกเค้ากินมากเกินไปและน้ำหนักขึ้นได้ง่าย นอกจากนี้การเทอาหารทิ้งไว้ยังสามารถดึงดูดสัตว์รบกวนและอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรีย เจ้าของควรให้อาหารเป็นเวลาและแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ ตลอดวัน
ไฟเบอร์นับเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของอาหารแมว มีทั้งหมด 2 ชนิด หนึ่งคือไฟเบอร์ละลายน้ำได้ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด สองคือไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ จะเพิ่มกากใยในลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายง่าย รวมถึงก่อให้เกิดกรดไขมันสายสั้น (SCFA) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์และช่วยเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในลำไส้ ไฟเบอร์ในอาหารแมวยังช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี ทำให้อิ่มท้องนาน ป้องกันการกินอาหารมากเกินไป
แม้ไฟเบอร์จะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าได้รับมากเกินความต้องการ อาจขัดขวางการดูดซึมสารอาหารบางชนิดได้ ดังนั้นควรตรวจสอบและกำหนดปริมาณของไฟเบอร์ให้เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการทำงานของระบบย่อยอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยให้แมวอายุยืนยาว มีชีวิตชีวา และมีความเป็นอยู่ที่ดี
ทุกวันนี้ ผู้คนต่างตระหนักถึงประโยชน์และบทบาทของไฟเบอร์มากขึ้น หลายคนปรับเปลี่ยนวิธีการเลือกอาหารของตัวเองและสัตว์เลี้ยง แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดี แต่ผู้ผลิตบางรายกลับคิดค้นอาหารแมวที่มีไฟเบอร์สูงตามหลักโภชนาการของคน ซึ่งอาจไม่เหมาะกับสุขภาพของแมว เนื่องจากแมวมีความต้องการทางโภชนาการแตกต่างจากเรา พวกเค้าเป็นสัตว์กินเนื้อ จึงต้องการสารอาหารจากเนื้อสัตว์มากกว่าพืช อีกทั้งยังมีระบบทางเดินอาหารสั้นกว่าเรามาก นี่เป็นเหตุผลที่นักโภชนาการสัตว์เลี้ยงของไอแอมส์ทุ่มเทศึกษานานกว่า 60 ปี เพื่อคิดค้นอาหารที่ตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของแมวโดยเฉพาะ
ไมโครไบโอมคือชุมชนของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ไมโครไบโอมส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของแมว มีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยังส่งผลต่อรูปแบบพฤติกรรมด้วย การรักษาความสมดุลภายในไมโครไบโอมจึงถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความเป็นอยู่โดยรวมของแมว
เมื่อพูดถึงโภชนาการและสุขภาพลำไส้ของแมว ไฟเบอร์ส่งผลอย่างมากต่อการรักษาและเปลี่ยนแปลงความสมดุลของไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร โดยก่อให้เกิดการตอบสนองและผลลัพธ์ดังนี้
เมื่อแมวกินอาหารที่มีไฟเบอร์เข้าไป ไมโครไบโอมในลำไส้จะปรับตัวให้เข้ากับการทะลักเข้ามาของไฟเบอร์ที่ย่อยไม่ได้
ไฟเบอร์บางชนิดก็ทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติก ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ เช่น บิฟิโดแบคทีเรียมและแลคโตบาซิลลัส ซึ่งจำเป็นต่อสุขภาพของลำไส้
การหมักไฟเบอร์ด้วยแบคทีเรียในลำไส้ส่งผลให้เกิดการผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFA) รวมถึงอะซิเตท โพรพิโอเนต และบิวทิเรต
กรดไขมันสายสั้นมีบทบาทสำคัญในการบำรุงเซลล์เยื่อบุลำไส้ มีส่วนช่วยให้เยื่อเมือกสมบูรณ์ เสริมการดูดซึมสารอาหารและการทำงานของลำไส้โดยรวม
การหมักย่อยของไฟเบอร์ก่อให้เกิดแก๊สและผลพลอยได้อื่น ๆ ซึ่งส่งผลต่อระดับ pH ในลำไส้ ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ไม่สนับสนุนการเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นอันตราย
จากการวิจัยของไอแอมส์ เราพบว่าปริมาณไฟเบอร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแมวจะอยู่ในช่วง 1.4 – 3.5% เนื่องจากไม่ส่งผลกระทบต่อการสลายตัวของสารอาหาร แต่ในบางกรณี เช่น แมวมีปัญหาก้อนขนอุดตัน อาหารที่มีไฟเบอร์สูงกว่านี้อาจเป็นประโยชน์
ลักษณะเด่นของไฟเบอร์คือความสามารถในการหมักย่อยหรือความสามารถในการย่อยสลายโดยแบคทีเรียในลำไส้ได้เป็นอย่างดี การย่อยสลายนี้ทำให้เกิดกรดไขมันสายสั้นซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแก่ลำไส้ ไฟเบอร์แตกต่างกันไปตามความสามารถในการหมักย่อย แหล่งไฟเบอร์ที่ใช้ในอาหารสัตว์เลี้ยงได้แก่ เซลลูโลส ซึ่งหมักย่อยได้ไม่ค่อยดี บีทพัลพ์หมักย่อยได้ในระดับปานกลาง ส่วนยางไม้และเพกทินหมักย่อยได้ดีมาก อย่างไรก็ตาม การวิจัยแสดงให้เห็นว่าไฟเบอร์ที่หมักย่อยได้ในระดับปานกลางนั้น มีประโยชน์และให้พลังงานได้มากโดยไม่มีผลกระทบ เช่น อุจจาระมากไปหรือมีแก๊สในทางเดินอาหารมากเกินไป มันจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
การเพิ่มไฟเบอร์เข้าไปในอาหารแมวมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอยู่โดยรวมของแมว โดยข้อดีของอาหารแมวที่มีไฟเบอร์สูงมีดังนี้
ไฟเบอร์มีส่วนช่วยเสริมการย่อยอาหารและเพิ่มกากใย ทำให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายง่าย และลดอาการท้องผูก
ไฟเบอร์ในอาหารจะทำให้แมวรู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น ป้องกันการกินอาหารมากเกินพอดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมน้ำหนัก
ปริมาณไฟเบอร์ที่เพิ่มขึ้นช่วยควบคุมและลดก้อนขนที่อุดตันอยู่ในระบบทางเดินอาหาร โดยกากใยจะช่วยจับเส้นขนรวมกันเป็นก้อน ทำให้เคลื่อนผ่านทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้น
อาหารแมวไฟเบอร์สูงมีบทบาทสำคัญในการจัดการโรคเบาหวานในแมว กากใยที่เพิ่มขึ้นช่วยให้การย่อยและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตช้าลง ส่งผลให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
ไฟเบอร์ละลายน้ำได้มีคุณสมบัติในการลดไขมันในเลือดหรือคอเลสเตอรอล ด้วยการจับกับโมเลกุลของคอเลสเตอรอลและส่งเสริมการขับถ่าย
อาหารแมวไฟเบอร์สูงเหมาะสำหรับแมวที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากช่วยน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี
ในบางกรณี อาจมีการแนะนำให้เลือกอาหารแมวที่มีไฟเบอร์ต่ำ แต่คุณก็ต้องพิจารณาข้อเสียที่อาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมวด้วย
อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาท้องผูกในแมวได้ เนื่องจากขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้อาการท้องผูกอาจส่งผลให้แมวรู้สึกไม่สบายและเกิดอาการแทรกซ้อนได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
อาหารแมวไฟเบอร์ต่ำอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบย่อยอาหาร ทำให้ดูดซึมสารอาหารที่ไม่เพียงพอ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ของแมว
แม้ว่าอาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่หากไม่ดูแลอย่างระมัดระวัง เจ้าเหมียวอาจกินอาหารมากขึ้นเพื่อชดเชยปริมาณแคลอรีที่ลดลง
การกินอาหารไฟเบอร์ต่ำอย่างต่อเนื่องอาจทำให้แมวได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลทางโภชนาการและปัญหาด้านสุขภาพ
การตระหนักถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจและเลือกอาหารแมวได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมของแมว
ในการเลือกอาหารสัตว์เลี้ยง ไฟเบอร์ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่แมวทุกคนต้องพิจารณา แนะนำให้เลือกอาหารที่มีปริมาณไฟเบอร์เหมาะสม มีแหล่งที่มาจากบีทพัลพ์ เพราะมีประโยชน์และให้พลังงานได้ดีโดยไม่ส่งผลกระทบด้านลบ ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารแมวที่มีไฟเบอร์ต่ำ เพราะอาจทำให้แมวได้รับแคลอรีน้อยลงและขาดสารอาหารที่ต้องการ
ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของไอแอมส์™ เช่น ไอแอมส์ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรแมวโตเต็มวัย มีส่วนผสมของบีทพัลพ์ซึ่งหมักย่อยได้ในระดับปานกลาง ช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีของลำไส้ เป็นสูตรเฉพาะของไอแอมส์™ และได้รับการคุ้มครองโดยสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกาหมายเลข 5,616,569 สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีไฟเบอร์ที่หมักย่อยได้และใช้ในกระบวนการรักษาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
การดูแลและกำหนดปริมาณไฟเบอร์ให้เพียงพอต่อความต้องการของแมวถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยคุณสามารถทำตามคำแนะนำเหล่านี้ได้
บนบรรจุภัณฑ์ของอาหารแมวไอแอมส์™ มีการระบุข้อมูลทางโภชนาการโดยละเอียด คุณสามารถตรวจสอบปริมาณไฟเบอร์ที่แนะนำและเพียงพอต่อความต้องการของแมวในแต่ละวันได้
อาหารแมวไอแอมส์™ มีให้เลือกหลากหลายประเภท รวมถึงสูตรที่ออกแบบมาเพื่อความต้องการเฉพาะ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การจัดการปัญหาก้อนขน และการดูแลสุขภาพทางเดินอาหาร
หากคุณอยากเปลี่ยนมาให้อาหารแมวไอแอมส์™ สูตรใหม่ แนะนำให้เปลี่ยนแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ระบบย่อยอาหารของแมวปรับตัว
แมวแต่ละตัวมีความต้องการและพฤติกรรมการกินแตกต่างกัน ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณไฟเบอร์ที่เหมาะสม โดยคุณหมอจะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ น้ำหนัก และสุขภาพโดยรวม
ไอแอมส์ระบุแนวทางการให้อาหารบนบรรจุภัณฑ์ คุณสามารถตรวจสอบและปรับเปลี่ยนปริมาณอาหารได้ตามความเหมาะสม โดยพิจารณาได้จากระดับกิจกรรมหรือเป้าหมายในการควบคุมน้ำหนัก
อาหารแมวไอแอมส์™ มีให้เลือกทั้งแบบเปียกและแบบเม็ด การให้อาหารทั้งสองชนิดจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าแมวจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
การตรวจสุขภาพจะทำให้คุณรู้ว่าแมวแข็งแรงหรือไม่ มีปัญหาแอบแฝงอยู่หรือเปล่า รวมถึงสามารถตรวจสอบการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้ด้วย หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลเกี่ยวกับการบริโภคไฟเบอร์ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพิ่มเติมได้ในระหว่างการนัดตรวจเหล่านี้
การเปลี่ยนมาให้อาหารแมวไอแอมส์™ จะช่วยให้แมวของคุณได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุล นอกจากอาหารของเรายังมีไฟเบอร์สูง ช่วยสนับสนุนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ของแมวด้วย