ลูกแมวตัวน้อยเต็มไปด้วยความน่ารัก และเหมาะสำหรับการเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านที่สุด แม้ว่าการมีลูกแมวจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เจ้าของควรทำความเข้าใจความต้องการที่แตกต่างไปตามช่วงวัย และวิธีการดูแลเจ้าตัวน้อยอย่างถูกวิธีด้วย สำหรับทาสแมวมือใหม่อาจเกิดข้อสงสัยว่า “แล้ววิธีการดูแลลูกแมวที่ถูกต้องเป็นอย่างไรกัน?” ซึ่งไอแอมส์ได้รวบรวมคำตอบและเทคนิคดี ๆ อีกมากมายมาให้แล้ว รับรองเลยว่าการดูแลลูกแมวแรกเกิดจะกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณเลยหล่ะ
การดูแลลูกแมวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะเติบโตมาอย่างแข็งแรง ในช่วงวัยนี้พวกเค้ายังต้องปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ การอยู่เคียงข้างพวกเค้าจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
ลูกแมวตัวน้อยกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวตั้งแต่วันแรกที่คุณพาพวกเค้าเข้าบ้าน แม้การเลี้ยงดูลูกแมวอาจเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับทาสแมวมือใหม่ แต่มันก็มีช่วงเวลาที่สนุกสนาน ซึ่งช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคุณและเจ้าตัวน้อยให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นได้
สิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลลูกแมวประกอบไปด้วยปัจจัยเหล่านี้:
สำหรับทาสแมวมือใหม่ คุณอาจไม่ทันสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัยของเจ้าตัวน้อย แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้จากตารางต่อไปนี้:
| พัฒนาการลูกแมว | 0-2 สัปดาห์ (ช่วงแรกเกิด) | 2-7 สัปดาห์ (ช่วงเข้าสังคม) | 7-14 สัปดาห์ (ช่วงนักสำรวจ) | 3-6 เดือน (ช่วงเรียนรู้ความสำคัญ) | 6-18 เดือน (ช่วงวัยรุ่น) |
|---|---|---|---|---|---|
| ลักษณะการเปลี่ยนแปลง | เริ่มเคลื่อนไหวเข้าหาเสียงต่าง ๆ | เรียนรู้ที่จะเข้าสังคม | เป็นช่วงวัยที่ลูกแมวกระตือรือร้นมากที่สุด | เป็นช่วงวัยที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากแม่แมวหรือพี่น้องในครอก | เติบโตอย่างเต็มที่ในช่วงวัยนี้ |
| ตาของลูกแมวจะเปิดในช่วงนี้ | ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นและการได้ยินพัฒนาอย่างเต็มที่ในสัปดาห์ที่ 4 | เริ่มแสดงความรักผ่านการกอดและการเลีย | เริ่มทำความเข้าใจและจัดลำดับความสำคัญของผู้คนรอบตัว | หากยังไม่ทำหมัน จะเริ่มแสดงพฤติกรรมทางเพศ | |
| หากลูกแมวถูกแยกออกจากแม่หรือพี่น้อง อาจมีแนวโน้มที่จะก้าวร้าวกับผู้คนและแมวตัวอื่น ๆ | การมองเห็นพัฒนาอย่างเต็มที่ในสัปดาห์ที่ 5 และสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว | สามารถใช้อุ้งเท้า ปาก ในการจับสิ่งของได้ดีขึ้น | |||
| เริ่มเลียขนทำความสะอาดตัวเอง | เริ่มเล่นไล่งับหางตัวเอง และกระโจนไปมา | ||||
| เริ่มพัฒนานิสัยการนอน การเคลื่อนไหว และการโต้ตอบกับ | |||||
| สิ่งต่าง ๆ รอบตัว |
แนะนำให้ฝึกพวกเค้านอนบนเบาะของตัวเอง คุณอาจเตรียมผ้าห่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับพวกเค้า
การดูแลลูกแมวกำพร้าแม่ต้องใช้ความอดทนและความตั้งใจมาก เจ้าของต้องให้อาหารผ่านขวดนม โดยต้องให้กินนมสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะ รวมถึงช่วยกระตุ้นการขับถ่าย และทำความสะอาดตัวพวกเค้าหลังขับถ่ายเสมอ
เมื่อลูกแมวมีอายุประมาณ 4 สัปดาห์ หรือเข้าสู่วัยหย่านม สามารถเปลี่ยนมาให้อาหารแมวไอแอมส์™ สูตรเพอร์เฟค พอร์ชันส์ คิทเท่น พรีเมียม เพท รสไก่ได้แล้ว นี่คือขั้นตอนที่ควรทำเมื่อลูกแมวของคุณเข้าสู่วัยหย่านม
ขั้นที่หนึ่ง: เติมน้ำลงในจานทรงตื้นเพียงเล็กน้อย
ขั้นที่สอง: ผสมอาหารแมวไอแอมส์™ กับน้ำที่เติมลงไป ทั้งนี้ควรเตรียมน้ำสะอาดแยกอีกชามให้พร้อม
ขั้นที่สาม: เมื่อเวลาผ่านไป ให้เพิ่มปริมาณอาหารและลดปริมาณน้ำลง จนกว่าลูกแมวจะเริ่มกินอาหารเพียงอย่างเดียว
ขั้นที่สี่: แนะนำให้เริ่มจากอาหารแมวไอแอมส์™ แบบเปียก สูตรโปรแอคทีฟ เฮลท์™ สำหรับลูกแมว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นให้อาหารเม็ด
หากทำตามขั้นตอนข้างต้นแล้ว การเปลี่ยนอาหารให้ลูกแมวก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และเพื่อให้พวกเค้าเติบโตเป็นแมวที่แข็งแรง แนะนำให้เลือกอาหารแมวไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ ที่พัฒนาสูตรโดยสัตวแพทย์ รับรองเลยว่าดีต่อสุขภาพเจ้าตัวน้อยที่คุณรักอย่างแน่นอน
ลูกแมวเรียนรู้การเลียขนทำความสะอาดตัวเองเมื่อมีอายุ 2-4 สัปดาห์ แต่เพื่อทำความสะอาดอย่างเหมาะสม คุณสามารถอาบน้ำให้ลูกแมวได้เมื่อมีอายุอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หรือปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องเพิ่มเติม
โภชนาการที่ดีเป็นกุญแจสำคัญของการมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดีสำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แมวเองก็เช่นกัน พวกเค้าต้องการอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนและสมดุลเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต รักษาร่างกาย เพิ่มพลังงาน และต่อสู้กับความเจ็บป่วย ในการเลือกอาหารที่ดีสำหรับแมวหรืออาหารแมวเพื่อสุขภาพ พ่อแม่แมวจำเป็นต้องเรียนรู้ส่วนผสมและสารอาหารที่จำเป็นกันก่อน
แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ สารอาหารที่พวกเค้าต้องการก็พบอยู่ในเนื้อสัตว์เป็นหลัก เดิมทีแมวเป็นนักล่าและจะกินเหยื่อเพื่อให้ได้โปรตีนในปริมาณสูง ไขมันในปริมาณปานกลาง และคาร์โบไฮเดรตบางส่วนเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย แม้ว่าแมวบ้านทุกวันนี้จะไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์แล้ว แต่พวกเค้ายังคงต้องการสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เช่น แร่ธาตุ วิตามิน กรดไขมัน และกรดอะมิโน
โภชนาการแมวควรมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยส่วนผสมที่หลากหลายจะเป็นแหล่งสารอาหารและพลังงานที่ดีให้กับแมว อย่างแคลเซียมจะได้มาจากผลิตภัณฑ์นม เครื่องใน กระดูกป่น เนื้อสัตว์ พืชตระกูลถั่ว และแร่ธาตุเสริม การวางแผนโภชนาการอาหารแมวคือการดูแลให้พวกเค้าได้รับโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำในปริมาณที่เหมาะสม อ่านบทความของเราเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสารอาหารที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของแมวเพิ่มเติม
เนื่องจากเป็นสัตว์กินเนื้อ แมวจึงจำเป็นต้องกินโปรตีนมากขึ้นเมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่น โปรตีนสำหรับแมวถือเป็นแหล่งพลังงานหลักและตัวช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงรักษาผิวหนัง เส้นขน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกอ่อน เนื้อเยื่อ แอนติบอดี ฮอร์โมน และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยตับจะผลิตเอนไซม์เพื่อเผาผลาญโปรตีนเป็นพลังงาน หากแมวกินโปรตีนไม่เพียงพอ ร่างกายจะเริ่มสลายกล้ามเนื้อของตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการพลังงาน
แหล่งโปรตีนหลักที่ใช้ในอาหารแมวคือโปรตีนจากพืชและโปรตีนจากสัตว์ แต่โปรตีนจากพืชอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากมีสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ สารอาหารบางชนิดมีอยู่ในโปรตีนจากสัตว์เท่านั้น เช่น ทอรีน เมทไธโอนีน และซิสตีน
โปรตีนจากสัตว์ในอาหารแมวมักจะมาจากไก่ ไก่งวง เนื้อแกะ เนื้อวัว และปลา อาหารแมวที่มีส่วนผสมของผลพลอยได้จากเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ก็มีจำหน่ายมากมายในท้องตลาดเช่นกัน แม้ว่าพ่อแม่แมวหลาย ๆ คนจะคิดว่าอาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี แต่แท้จริงแล้วพวกมันเป็นแหล่งโปรตีนที่ยอดเยี่ยม
ความต้องการโปรตีนสำหรับแมวขึ้นอยู่กับอายุหรือช่วงวัย แมวโตต้องการโปรตีนสูงเมื่อเทียบกับสุนัข คน หรือสัตว์ชนิดอื่น แม้ว่าสัดส่วนที่แน่นอนจะแตกต่างกันไป แต่แมวโตต้องการโปรตีนประมาณ 26% ในมื้ออาหาร โดยคุณสามารถเลือกอาหารแมวที่มีโปรตีนสูงให้กับพวกเค้าได้ ส่วนความต้องการโปรตีนสำหรับลูกแมวอาจเปลี่ยนแปลงไปตามอายุและสุขภาพโดยรวม ทางที่ดีควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าลูกแมวของคุณได้รับสารอาหารที่เหมาะสม
เมื่อพูดถึงความสำคัญของวิตามินสำหรับแมว ต้องบอกเลยว่ามันเป็นสารอาหารที่สำคัญเช่นกัน วิตามินจำเป็นต่อการทำงานของระบบเผาผลาญ เอนไซม์หลายชนิดที่ช่วยเสริมการทำงานของระบบเผาผลาญจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้หากไม่มีวิตามิน
อาหารหลายชนิดเป็นแหล่งที่มาของวิตามิน เช่น ผลไม้ ผัก เนื้อเยื่อของสัตว์ น้ำมันพืช ธัญพืช และเมล็ดพืช แต่มันเป็นเรื่องยากมากที่จะควบคุมปริมาณวิตามินให้เหมาะสมจากการกินอาหารชนิดต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ อาหารแมวจึงจำเป็นต้องมีวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม
หากแมวของคุณมีสุขภาพดี กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล คุณก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมและวิตามินสำหรับแมวเพิ่มเติม ในบางกรณี วิตามินเสริมอาจเป็นอันตรายได้ ทางที่ดีควรปรึกษาสัตวแพทย์และดูแลโภชนาการแมวให้เหมาะสม
แมวต้องการแร่ธาตุเพื่อเสริมการทำงานของร่างกาย แร่ธาตุหลายชนิดที่แมวต้องการได้มาจากเนื้อสัตว์และพืช อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โภชนาการอาหารแมวมีความสมดุล ผู้ผลิตมักจะเพิ่มแร่ธาตุลงในอาหารแมว
ในอาหารของแมวควรมีแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก โซเดียม คลอไรด์ ทองแดง สังกะสี แมงกานีส ไอโอดีน และซีลีเนียม แร่ธาตุเหล่านี้ช่วยควบคุมการทำงานของเส้นประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ ส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย สนับสนุนการเจริญเติบโตของโครงสร้างกระดูก และอื่น ๆ อีกมากมาย โภชนาการแมวจึงควรมีแร่ธาตุเป็นส่วนประกอบ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกแมวของคุณได้รับสารอาหารตรงตามความต้องการ ขอแนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับโภชนาการอาหารแมวที่เหมาะสม
การวิเคราะห์ปริมาณไขมันในอาหารสัตว์ทำได้โดยการสกัดด้วยตัวทำละลาย และปริมาณไขมันในอาหารทุกสูตรจะแสดงอยู่บนฉลากบรรจุภัณฑ์
ไขมันถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นมาก โปรตีนอาจจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญสำหรับแมว แต่ไขมันเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานมากที่สุด และยังช่วยส่งผ่านกระแสประสาทอีกด้วย แหล่งไขมันที่จำเป็น เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวหนังและเส้นขน
ไขมันและกรดไขมันจำเป็นอื่น ๆ พบได้ในสูตรอาหารที่มีส่วนผสมของตับ ไก่ เนื้อวัว ไก่งวง และปลา ในบางครั้ง ผู้ผลิตจะเพิ่มแหล่งไขมันพิเศษลงในสูตรอาหาร เช่น น้ำมันปลา ไขมันวัว และน้ำมันถั่วเหลือง โดยคุณสามารถตรวจสอบรายการส่วนผสมและแหล่งที่มาของไขมันได้จากฉลากผลิตภัณฑ์
แมวจำเป็นต้องควบคุมน้ำหนักและรักษารูปร่างให้เหมาะสมเพื่อความกระฉับกระเฉง จึงไม่แนะนำให้แมวกินอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง พวกเค้าไม่ควรได้รับไขมันมากเกินความจำเป็นในแต่ละวัน หากได้รับไขมันมากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนได้ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเลือกสูตรอาหารที่มีปริมาณไขมันเหมาะสมกับแมวของคุณได้ หรือหากแมวมีปัญหาน้ำหนักตัวเกิน คุณหมออาจแนะนำให้เลือกอาหารแมวควบคุมน้ำหนักแทน
สัตว์หลายชนิดต้องการคาร์โบไฮเดรตเพื่อให้ได้พลังงาน แต่เนื่องจากแมวได้รับพลังงานส่วนใหญ่จากโปรตีนและไขมันแล้ว คาร์โบไฮเดรตจึงไม่ได้มีความสำคัญมากนัก อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้หมายความว่าอาหารแมวไม่จำเป็นต้องมีคาร์โบไฮเดรตเลย แมวยังต้องการคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเล็กน้อย แต่ไม่แนะนำให้แมวกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตปริมาณมาก เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำหนักตัวเกินและอาจนำไปสู่โรคร้ายอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน
อาหารของแมวไม่ควรมีคาร์โบไฮเดรตเกิน 10% อาหารเม็ดอาจมีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณสูง แต่การผสมอาหารเม็ดและอาหารเปียกจะช่วยให้ป้องกันไม่ให้แมวได้รับคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
อาหารแมวที่ดีควรประกอบไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม ต้องมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของแมว หากคุณกังวลเกี่ยวกับการเลือกอาหาร หรือสงสัยว่าอาหารแบบใดคืออาหารแมวเพื่อสุขภาพ ควรกำหนดปริมาณอาหารในแต่ละวันอย่างไร และแมวของคุณจำเป็นต้องกินอาหารแมวควบคุมน้ำหนักหรือไม่ คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพิ่มเติมได้เสมอ