IAMS TH
How to Help Your Obese Cat Lose Weight
How to Help Your Obese Cat Lose Weight

adp_description_block146
วิธีสังเกตและดูแลอาการภูมิแพ้ในแมว

  • แบ่งปัน

เราจะเริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ กันก่อน - คุณคิดว่าเจ้าเหมียวของคุณต้องลดน้ำหนักหรือไม่?

สำหรับทาสแมวแล้ว เจ้าเหมียวสุดแสนจะเพอร์เฟค ตัวกลมนุ่มฟู มีพุงกะทิน้อย ๆ กำลังพอดี ทั้งหมดนี้อาจทำให้คุณคิดว่าพวกเค้ามีสุขภาพดี แต่ความจริงนั้น พวกเค้าอาจกำลังกลายเป็นแมวน้ำหนักเกินแล้วก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันปัญหาแมวอ้วนเกินพบได้บ่อยมากยิ่งขึ้น 

การให้อาหารมากเกินไปคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด! น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพบางอย่างได้แล้ว เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงแมวที่มีน้ำหนักเกินมักมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวตัว การเลียทำความสะอาดตัวเองทำได้ลำบาก ด้วยเหตุนี้การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเค้าเอง นับว่าโชคดีที่การทำให้น้ำหนักแมวอ้วนลดลงเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่กำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการและออกกำลังกายเป็นประจำเท่านั้นเอง

โรคอ้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง?

โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันส่งผลเสียต่อสุขภาพ การใช้ชีวิต และการทำงานของร่างกายในระยะยาว นอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงอีกมากมาย ปัญหาแมวอ้วนเกินจึงควรได้รับการดูแลในทันที:

  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เมื่อน้องแมวมีน้ำหนักเกิน ระบบภูมิคุ้มกันก็จะอ่อนแอลง ส่งผลให้แมวมีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ ง่ายขึ้น แมวอ้วนมักติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและเสี่ยงต่อการเกิด 'ก้อนนิ่ว' เนื่องจากเคลื่อนไหวน้อย ดื่มน้ำน้อย และปัสสาวะน้อยลง

  • โรคเบาหวาน

Around 80% to 90% of obese cats require daily insulin shots as they are more likely to develop diabetes. But, when their excess weight is eliminated, diabetes can often be reversed.

  • ตับวาย

เมื่อร่างกายของแมวรู้สึกว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือการลำเลียงอาหารถูกขัดขวาง ไขมันสำรองจะถูกย้ายไปยังตับเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่ร่างกายของแมวไม่สามารถควบคุมกระบวนการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีไขมันมาพอกที่ตับและอาจเกิดภาวะตับวายตามมา

  • กรูมมิ่งตัวเองไม่ได้

แมวที่มีน้ำหนักเกินจะดูแลทำความสะอาดตัวเองได้ยากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้องแมวน้ำหนักเกิน?

  • วางมือลงไปบริเวณด้านข้างลำตัวของแมว ควรสัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครง
  • เห็นเอวคอดอย่างชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สุดท้ายนี้ คุณควรสังเกตเห็นหน้าท้องเว้าเล็กน้อยเมื่อมองจากด้านข้าง หากหน้าท้องมีลักษณะเป็นถุงและห้อยย้อยเกือบติดพื้น แสดงว่ามีไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันอันตรายที่สะสมอยู่ตามอวัยวะและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้หน้าท้องยื่นหรือป่องออกมา

สามารถเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตารางด้านล่างนี้ –

สามารถเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตารางด้านล่างนี้

ตารางเช็กรูปร่างน้องแมว

  • เห็นกระดูกซี่โครงและกระดูกสันหลังชัดเจน ไม่มีไขมันส่วนเกิน
  • สามารถเห็นและสัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครงโดยง่าย เห็นเอวคอดชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครงโดยมีรู้สึกถึงไขมันส่วนเกิน เห็นเอวคอดชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สัมผัสถึงกระดูกซี่โครงแต่มีชั้นไขมันปกคลุม ไม่เห็นเอว หน้าท้องกลม ห้อยย้อย
  • ไม่สามารถสัมผัสถึงกระดูกซี่โครง มีชั้นไขมันหนากั้น เห็นหน้าท้องกลม ห้อยย้อยชัดเจน
     

จะหลีกเลี่ยงโรคอ้วนในแมวได้อย่างไร?

หลังจากทำให้แมวอ้วนกลับมามีรูปร่างสมส่วนแล้ว เป้าหมายต่อไปคือต้องดูแลพวกเค้าให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว พฤติกรรมต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงและควรทำเพื่อไม่ให้น้องแมวน้ำหนักเกิน:

  • ให้อาหารแบบไม่กำหนดเวลา

เพื่อป้องกันไม่ให้แมวอ้วน ควรกำหนดเวลาให้อาหารที่แน่นอนและให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม

ให้อาหารแบบไม่กำหนดเวลา

  • ไม่ชวนน้องแมวออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม

น้องแมวมีแนวโน้มจะอ้วนมากขึ้น หากไม่ได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเลย เพื่อลดความเบื่อหน่ายและป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม ควรเตรียมของเล่นหลากหลายชนิดเอาไว้พวกเค้า รวมถึงแบ่งเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน หรือลองฝึกใส่สายจูงออกไปเดินเล่นด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว

ไม่ชวนน้องแมวออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม

  • ให้อาหารแบบไม่จำกัดปริมาณ

สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสำหรับแมวเหมียว โดยปริมาณจะพิจารณาจากกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน อายุ และน้ำหนักตัวที่ต้องการ เมื่อกำหนดปริมาณอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว อาจแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อต่อวัน

ให้อาหารแบบไม่จำกัดปริมาณ

การลดน้ำหนักถือเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าเหมียว จึงควรควบคุมน้ำหนักให้ดี ไม่ปล่อยให้เจ้าเหมียวกลายเป็นแมวอ้วนตุ้ยนุ้ย

  • เล่นเก็บบอล

การเล่นหรือทำกิจกรรมสนุก ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักเจ้าเหมียวได้เป็นอย่างดี แมวส่วนใหญ่ชอบเล่นไล่จับแสงเลเซอร์หรือแสงจากไฟฉาย บางตัวก็ชอบออกไปเดินเล่น บางตัวก็ชอบเล่นล่าเหยื่อเพื่อให้ได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณนักล่าออกมา อาจลองหาคอนโดแมวมาไว้ในบ้านให้พวกเค้าปีนป่าย หรือจะสอนเล่นคาบบอลก็สนุกไปอีกแบบ สำหรับการจัดหาของเล่นนั้น คุณจะซื้อหรือประดิษฐ์ของเล่นขึ้นมาเองก็ได้ รู้มั้ยว่า อาหารก็เป็นของเล่นได้เหมือนกัน เพียงแค่เอาอาหารไปซ่อนไว้ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ให้พวกเคาตามหา เท่านี้ก็จะได้เกมสนุก ๆ อีกหนึ่งเกมแล้ว ทั้งนี้การเล่นสามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่อย่าปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนหมดแรง รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป หรือหายใจลำบาก และควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเล่นกับแมวสูงวัย

  • ใช้ความอดทน

โรคอ้วนป้องกันง่ายกว่ารักษาก็จริง แต่การลดน้ำหนักก็ไม่ใช่เรื่องยากและเริ่มต้นทำได้ทุกเมื่อ อาจต้องใช้เวลา ความมุ่งมั่น และความอดทนมากหน่อย การลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่เห็นผลช้า เพียงแค่ลดปริมาณอาหารอย่างเดียวไม่อาจสำเร็จได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่นได้อีก

การออกกำลังกายเป็นประจำ ปรับพฤติกรรมในแต่ละวัน และกำหนดปริมาณอาหารเป็นวิธีป้องกันโรคอ้วนในแมวได้อย่างยอดเยี่ยม

  • เคล็ดลับในการควบคุมน้ำหนักเจ้าเหมียว

  • ปรึกษาขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ก่อนเสมอ
  • งดขนมทุกประเภท
  • แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อ
  • เลือกสูตรอาหารสำหรับควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ
  • ชั่งน้ำหนักน้องแมวทุก 2 สัปดาห์
  • ในช่วงสัปดาห์แรก น้ำหนักแมวไม่ควรลดมากกว่า 1% - 1.5% จากน้ำหนักปกติ
  • อดทนและออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนักแมว

  1. อาการบอกโรคอ้วนในแมวมีอะไรบ้าง?
  2. สามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้:

    • นั่งหรือนอนทั้งวัน โดยไม่เต็มใจจะลุกขึ้นเดินไปมา
    • มองไม่เห็นเอวคอดหรือท้องเว้า
    • สัมผัสกระดูกซี่โครงและสะโพกยาก

     

  3. ควรดูแลแมวอ้วนอย่างไร?
  4. เริ่มจากปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสม ทั้งเลือกสูตรอาหาร และกำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย

  5. สาเหตุที่ทำให้แมวมีน้ำหนักเกินคืออะไร?
  6. โรคอ้วนในแมวมักเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย การให้อาหารมากไป น้องแมวนั่ง ๆ นอนๆ ทั้งวัน และเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

  7. ควรให้อาหารแมวอ้วนอย่างไร?
  8. เลือกให้อาหารเปียกกับน้องแมวที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะแมวส่วนใหญ่ชอบอาหารเปียกมากกว่าอาหารเม็ด อาหารเปียกจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

  9. จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าแมวมีน้ำหนักเกิน?
  10. แมวอ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ไขมันส่วนเกินส่งผลเสียต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และอายุขัยของพวกเค้า นอกจากนี้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่โรคข้ออักเสบได้ด้วย

  • คู่มือการฝึกลูกแมวเข้ากระบะทราย
    คู่มือการฝึกลูกแมวเข้ากระบะทราย
    adp_description_block345
    วิธีฝึกลูกแมวเข้ากระบะทราย

    • แบ่งปัน

    การฝึกเข้ากระบะทรายตั้งแต่อายุน้อย ช่วยปลูกฝังพฤติกรรมเพื่อสุขอนามัยที่ดีได้ โดยแนะนำให้เริ่มฝึกทันทีที่ลูกแมวมีอายุครบ 4 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงวัยที่เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี การฝึกยังช่วยให้บ้านของคุณสะอาด ไม่ต้องเก็บกวาดทุกครั้งที่เจ้าเหมียวขับถ่ายอีกด้วย สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยงที่สงสัยว่าควรฝึกลูกแมวอย่างไร ในบทความนี้ เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นการฝึกได้อย่างราบรื่น พร้อมด้วยเรื่องน่ารู้อีกมากมาย ทั้งช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการฝึกและวิธีเลือกขนาดกระบะทรายที่เหมาะสม
     

    สามารถฝึกลูกแมวเข้ากระบะทรายได้หรือไม่?

    แมวส่วนใหญ่ใช้กระบะทรายเป็นโดยสัญชาตญาณ เพราะมักจะขับถ่ายบนพื้นทรายกันเป็นปกติ แต่สำหรับลูกแมวอาจต้องฝึกสอนกันสักเล็กน้อย การฝึกลูกแมวเข้ากระบะทรายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ควรเริ่มฝึกตั้งแต่เนิ่น ๆ โดยถือเป็นหนึ่งในการฝึกแรก ๆ ที่คุณควรสอนให้ลูกแมว
     

    เริ่มฝึกลูกแมวเข้ากระบะทรายได้เมื่อไหร่?

    คุณสามารถเริ่มฝึกลูกแมวได้เมื่อมีอายุ 4 สัปดาห์ หากคุณรับเลี้ยงลูกแมวที่มีอายุมากกว่า 4 สัปดาห์หรือแมวโต ให้เริ่มฝึกทันทีที่พาพวกเค้าเข้าบ้าน
     

    ควรฝึกลูกแมวเข้ากระบะทรายอย่างไร?

    การฝึกลูกแมวขับถ่ายในกระบะทรายเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่ต้องการทำความสะอาดบ้านหลายล้านครั้งต่อวัน อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องสอนให้พวกเค้ารู้จักวิธีใช้กระบะทรายอย่างถูกต้องกันเสียก่อน สำหรับทาสแมวมือใหม่ คุณอาจไม่มีความรู้เรื่องวิธีการฝึก ไม่ต้องกังวล เราช่วยคุณได้! เพียงแค่ทำตามเคล็ดลับง่าย ๆ เหล่านี้

    1. เลือกกระบะทรายและทรายแมวที่ใช่

    ขั้นตอนแรกคือการเลือกกระบะทรายที่เหมาะกับตัวลูกแมว ขนาดต้องไม่เล็กจนเกินไป ภายในมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการขับถ่าย และควรเดินเข้าออกได้ง่าย
     

    แมวบางตัวอาจรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องใช้กระบะทรายแบบโดมหรือแบบที่มีฝาปิด เพราะต้องการรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในขณะขับถ่าย ส่วนแมวบางกลุ่มก็ต้องการความเป็นส่วนตัว อาจต้องให้พวกเค้าลองใช้กระบะทรายแบบต่าง ๆ เพื่อค้นหาแบบที่ถูกใจมากที่สุด

    1. จัดวางกระบะทรายในมุมที่เข้าถึงได้ง่าย

    การเลือกจุดที่เหมาะสมสำหรับกระบะทรายเป็นสิ่งจำเป็น แนะนำให้วางในมุมที่เงียบสงบ มีความเป็นส่วนตัว แต่ให้อยู่มุมที่เรามองเห็นได้เพื่อป้องกันแมวขับถ่ายไม่เป็นที่ จำนวนกระบะทรายก็สำคัญเช่นกัน หากบ้านของคุณมีหลายชั้นควรวางกระบะทรายให้ครบทุกชั้น อย่างน้อยชั้นละ 1 จุด สามารถวางในห้องน้ำได้ แต่หลีกเลี่ยงบริเวณชามอาหารและน้ำ

    1. อุ้มลูกแมวเข้ากระบะทรายเพื่อทำความคุ้นเคย

    เมื่อจัดเตรียมกระบะทรายเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาฝึกลูกแมวของคุณ เริ่มจากนำลูกแมวไปที่กระบะทราย ปล่อยให้พวกเค้าดมกลิ่นและสำรวจเพื่อทำความคุ้นเคย จากนั้นอุ้มลูกแมวลงไปในกระบะทราย พวกเค้าอาจเริ่มใช้เท้าเขี่ยทรายและขับถ่ายในทันที หากลูกแมวมีท่าทีงุนงง ให้ใช้นิ้วเขี่ยทรายให้พวกเค้าดูก่อน

    1. ปลูกฝังพฤติกรรมขับถ่ายที่ดี

    เพื่อให้ลูกแมวเรียนรู้และจดจำการใช้กระบะทรายได้ดีขึ้น ควรให้รางวัลเป็นขนมแสนอร่อยหรือพูดชมเชยเมื่อพวกเค้าใช้กระบะทรายได้สำเร็จ และเพื่อให้ได้ผลดี คุณควรให้รางวัลทันทีหลังขับถ่ายเสร็จ

    1. ทำความสะอาดกระบะทรายเป็นประจำ

    การรักษาความสะอาดของกระบะทรายเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแมวมีนิสัยรักสะอาดและเจ้าระเบียบมาก พวกเค้ามักจะหลีกเลี่ยงการใช้กระบะทรายที่สกปรก ในช่วงแรกอาจตักของเสียออกหลังการใช้งานแต่ละครั้ง หมั่นเติมทรายแมวเพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณที่เหมาะสม ลูกแมวสามารถขุดได้ง่าย เมื่อลูกแมวเริ่มโตขึ้นและคุ้นเคยกับการใช้กระบะทรายแล้ว สามารถเปลี่ยนมาทำความสะอาดวันละครั้งแทนได้

Close modal