IAMS TH
cat article detail banner
cat article detail banner

adp_description_block183
วิธีอ่านฉลากอาหารแมวอย่างถูกต้อง

  • แบ่งปัน

เชื่อว่าทาสแมวทั้งหลาย ต้องเช็กข้อมูลส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการอย่างละเอียด ก่อนเลือกซื้ออาหารให้น้องเหมียวสุดเลิฟ แต่บางครั้งข้อมูลเหล่านี้ก็อาจสร้างความสับสน ต้องเลือกแบบไหน? เลือกอย่างไร? ให้มีสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสำหรับเจ้าตัวน้อยมากที่สุด ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมจุดสังเกตสำคัญบนฉลากโภชนาการ เพื่อช่วยให้คุณอ่านและทำความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ตามมาดูกันเลย

ฉลากอาหารมีข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง?

ฉลาก จะต้องบ่งบอกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้

  • คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี
  • ข้อมูลบริษัทและการบริการลูกค้า
  • ส่วนผสมในการผลิตอาหาร
  • รหัสระบุผลิตภัณฑ์ และวันหมดอายุ
  • ปริมาณการให้อาหารที่แนะนำต่อวัน
  • มาตรฐาน AAFCO

คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี

ข้อมูลในส่วนนี้จะบอกอัตราส่วนสูงสุดหรือต่ำสุดของปริมาณสารอาหารแต่ละชนิด โดยเปอร์เซ็นสูงสุด (ไม่น้อยกว่า %) หมายถึงสารอาหารที่มีปริมาณมากที่สุด ส่วนเปอร์เซ็นต่ำสุด (ไม่มากกว่า %) หมายความว่ามีปริมาณสารอาหารอย่างน้อยกี่เปอร์เซ็น ทั้งนี้ฉลากอาหารแมวควรระบุปริมาณส่วนประกอบและสารอาหารสำคัญจำนวน 4 ชนิด ซึ่งได้แก่

  • โปรตีน (ไม่น้อยกว่า %)
  • ไฟเบอร์ (ไม่มากกว่า %)
  • ไขมัน (ไม่มากกว่า %)
  • ความชื้น (ไม่มากกว่า %)

ตัวอย่างเช่น หากฉลากบนผลิตภัณฑ์ระบุว่ามี โปรตีน ไม่น้อยกว่า 25% แปลว่าคุณค่าของโปรตีนที่ได้รับต้องมีปริมาณอย่างน้อย 25% หรือมากกว่า การคำนวณคุณค่าสารอาหารเหล่านี้ต้องวิเคราะห์และทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

ฉลากอาหารอาจระบุส่วนประกอบอื่น ๆ ด้วย เช่น แมกนีเซียม (ไม่น้อยกว่า %) ,ทอรีน (ไม่มากกว่า %) ,เถ้า หรือส่วนของสารอนินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารหลังการเผาผลาญ (ไม่น้อยกว่า %) และกรดลิโนเลอิก (ไม่มากกว่า %)

  • แม้ว่าคุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมีจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้เปรียบเทียบความแตกต่างของอาหารแมวแต่ละชนิด อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถใช้วัดคุณภาพของอาหารหรือบ่งบอกคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับโดยตรง วิธีเดียวที่จะเปรียบเทียบได้อย่างเหมาะสม คือการคำนวณปริมาณพลังงานที่ใช้ได้จากสารอาหาร โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ทางผู้ผลิตให้มานั่นเอง

การควบคุมคุณภาพของอาหารแมว

  1. มาตรฐาน AAFCO

อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงต้องได้รับการตรวจสอบจาก AAFCO (Association of American Feed Control Officials) ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐในอเมริกาเหนือ ทำหน้าที่กำหนดมาตราฐานโภชนาการสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยง หากตรวจสอบแล้วว่าการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานและมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม บนบรรจุภัณฑ์ก็จะมีสัญลักษณ์ของ AAFCO รับรองอยู่ ทั้งนี้มั่นใจได้เลยว่าการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของ มาร์ส เพ็ทแคร์ เป็นไปตามมาตรฐานของ AAFCO รวมถึงมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนและสมดุลสำหรับเจ้าตัวน้อยที่คุณรัก

ส่วนผสมในการผลิตอาหาร

รายการของส่วนผสมจะเรียงลำดับตามปริมาณมากไปน้อย

แม้จะระบุรายการและอัตราส่วนของส่วนผสมต่าง ๆ มาให้ แต่เราก็ไม่สามารถพิจารณาคุณภาพของส่วนผสมได้อย่างชัดเจน การตรวจสอบคุณภาพของอาหารต้องผ่านการวิเคราะห์และทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

โดยฉลากอาหารแมวจำเป็นต้องระบุข้อมูลสำคัญเหล่านี้

  • ข้อมูลโดยรวม – ชื่อแบรนด์อาหารและส่วนผสมหลักในการผลิตอาหาร เช่น ข้าวและเนื้อไก่
  • ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย – เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตอาหาร เพื่อใช้สำหรับการติดต่อในกรณีที่พบปัญหาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์
  • ปริมาณสุทธิของอาหาร – บอกถึงปริมาณอาหารทั้งหมดที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์
  • รายการส่วนผสม –ส่วนผสมที่สำคัญจะแสดงเป็นร้อยละของน้ำหนักโดยประมาณ โดยจะเรียงลำดับจากปริมาณมากไปน้อย
  • การตามสอบ – เป็นข้อมูลที่ใช้ตรวจสอบแหล่งผลิตอาหาร หรือตลอดทุกขั้นตอนในการผลิต
  • แถลงการณ์เรื่องความเพียงพอทางโภชนาการ – เพื่อชี้แจงว่าอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงต้องมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ รวมถึงอธิบายว่าเหมาะสำหรับน้องแมวช่วงวัยใดบ้าง
  • คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี – จะบ่งบอกปริมาณสารอาหารในรูปแบบอัตราส่วนร้อยละ โดยต้องระบุปริมาณของโปรตีน ไขมัน ไฟเปอร์ และความชื้นอย่างครบถ้วน หรืออาจระบุส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยได้
  • ปริมาณพลังงาน – อาจระบุเป็นกิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม หรือระบุด้วยหน่วยวัดอื่น ๆ ที่ใช้กันทั่วไป เช่น กิโลแคลอรีต่อถ้วย
  • ปริมาณการให้อาหารที่แนะนำต่อวัน – เป็นแนวทางในการกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวัน หรือปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว

แถลงการณ์เรื่องความเพียงพอทางโภชนาการของ AAFCO

อาหารสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ต้องมีข้อความเกี่ยวกับความเพียงพอทางโภชนาการของ AAFCO โดยจะมีการกำหนดหรือทดสอบตามขั้นตอนและคำแนะนำของ AAFCO

  • 'ตามสูตร' หมายความว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการผลิตตามหลักเกณฑ์ด้านโภชนาการของ AAFCO แต่ไม่มีการทดสอบอาหารกับสัตว์เลี้ยงก่อนจำหน่าย
  • 'ทดสอบ' คือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบด้านโภชนาการ และมีการทดสอบอาหารกับสัตว์เลี้ยงเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามเกณฑ์ด้านการเจริญเติบโต การบำรุงรักษา และ/หรือการสืบพันธุ์

ผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์อาจระบุข้อความ เช่น 'ผลิตภัณฑ์นี้มีไว้สำหรับการให้อาหารชั่วระยะเวลาเท่านั้น' และ 'ใช้ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น'

รหัสระบุผลิตภัณฑ์ และวันหมดอายุ

รหัสการผลิตจะถูกใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา ใช้ตรวจสอบสินค้าคงคลัง และจัดการกับปัญหาที่ลูกค้าพบเจอได้ดีขึ้น

วันหมดอายุหรือวันที่ “ควรบริโภคก่อน” ใช้ในการพิจารณาความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์และอายุการเก็บรักษา

วิธีอ่านฉลากโภชนาการ

เคล็ดลับง่าย ๆ ในการอ่านฉลากโภชนาการ มีดังนี้

  • สังเกตชื่อผลิตภัณฑ์ – เพื่อเช็กชนิดและรสชาติของอาหาร โดยชื่อผลิตภัณฑ์มักจะเน้นส่วนผสมหลักหรือรสชาติของอาหาร
  • สังเกตประเภทของอาหาร – ต้องระบุว่าเป็นอาหารสำหรับน้องแมวโดยเฉพาะ เพราะพวกเค้ามีความต้องการทางโภชนาการที่เฉพาะเจาะจง และแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ
  • เลือกอาหารที่ใช่ – ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์ช่วยให้เราเลือกอาหารได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลหรือไม่ เหมาะกับช่วงวัยของน้องแมวหรือเปล่า อาหารบางชนิดก็อาจระบุว่าเหมาะสำหรับแมวทุกช่วงอายุ สำหรับแมววัยผสมพันธุ์ หรือแมวที่เลี้ยงแบบระบบปิด

ข้อมูลบริษัทและการรับประกันความพึงพอใจ

ข้อมูลของผู้ผลิตควรประกอบด้วยชื่อบริษัท ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว

ควรมีหมายเลขโทรศัพท์โทรฟรีเพื่อความสะดวกของลูกค้า และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเรียกเก็บเงินเมื่อมีการโทรขอข้อมูลเพิ่มเติม

นอกจากจะระบุการรับประกันสินค้าแล้ว ผู้ผลิตต้องระบุด้วยว่ามีขั้นตอนดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามความพึงพอใจของลูกค้า (เช่น การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ การคืนเงิน ฯลฯ)

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอ่านฉลากผลิตภัณฑ์

  1. อาหารแมวควรมีโปรตีนกี่เปอร์เซ็นต์?
  2. อาหารแมวควรมีปริมาณโปรตีนอย่างน้อย 26% หลังหักปริมาณความชื้นออกไปแล้ว จึงจะถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลตามมาตรฐาน AAFCO

  3. อาหารแมวสูตรแมวโต (+1) และสูตรแมวโต (+7) แตกต่างกันอย่างไร?
  4. สิ่งที่แตกต่างกันคือปริมาณใยอาหารและปริมาณแคลอรี โดยอาหารสูตรแมวโต (+7) จะมีใยอาหารสูงกว่าและมีแคลอรีน้อยกว่า แต่สัดส่วนของโปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุจะเท่ากันกับสูตรแมวโต (+1)

  5. ข้อมูลใดที่ไม่จำเป็นต้องระบุบนฉลากอาหารแมว?
  6. ไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับคุณภาพของส่วนผสมอาหารบนฉลากอาหารแมว

  7. อาหารสัตว์เลี้ยงถูกควบคุมโดยองค์การอาหารและยาด้วยใช่หรือไม่?
  8. ใช่ การผลิตอาหารและขนมสำหรับสัตว์เลี้ยงจะอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์การอาหารและยา

  • What You Should Know About Changing Your Cat’s Diet
    What You Should Know About Changing Your Cat’s Diet
    adp_description_block337
    ความสำคัญของต้นอ่อนข้าวสาลีในอาหารแมว

    • แบ่งปัน

    ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นยอดสดของต้นข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวก่อนที่เมล็ดข้าวจะงอก อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นส่วนประกอบทั่วไปที่พบได้ในอาหารแมวส่วนใหญ่ มันอุดมไปด้วยโปรตีน แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี โดยแมวมักจะเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีหรือต้นหญ้าเพื่อบรรเทาอาการท้องผูกและอาหารไม่ย่อย เส้นใยที่อยู่ในพืชเหล่านี้ช่วยให้การขับถ่ายราบรื่นขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เลียงควรเช็กให้แน่ใจว่าเจ้าเหมียวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีออร์แกนิกและปลอดยาฆ่าแมลงเท่านั้น

    ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นอันตรายต่อแมวหรือไม่?

    แมวส่วนใหญ่ไม่มีอาการแพ้ต้นอ่อนข้าวสาลี พวกเค้าสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารจากมันได้อย่างง่ายดาย ต้นอ่อนข้าวสาลีถือเป็นแหล่งสารอาหารชั้นเยี่ยม มีทั้งวิตามิน โปรตีน และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีไฟเบอร์และซีลีเนียมที่ช่วยให้ลำไส้สุขภาพดีด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อย คุณควรสังเกตความผิดปกติที่บ่งบอกถึงอาการแพ้หลังการบริโภคต้นอ่อนข้าวสาลี โดยสามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือนเหล่านี้

    1. น้ำลายไหลมากผิดปกติ
    2. มีตุ่มแดง
    3. ขนร่วงมากผิดปกติ
    4. มีผื่นแดง

    ทั้งนี้ผู้เลี้ยงควรให้ต้นอ่อนข้าวสาลีกับเจ้าเหมียวในปริมาณที่เหมาะสม โดยต้องให้น้อยกว่า 10% ของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หลีกเลี่ยงการให้ทุกวัน แต่สามารถให้เป็นวันเว้นวันได้

    ประโยชน์ของต้นอ่อนข้าวสาลี

    เป็นที่รู้กันดีว่าต้นอ่อนข้าวสาลีมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและขับถ่าย แต่นี่ไม่ใช่ข้อดีเพียงอย่างเดียว ต้นอ่อนข้าวสาลียังมีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้าเหมียวอีกมากมาย ดังนี้

    1. ช่วยลดน้ำหนัก – แมวบ้านทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์อย่างในอดีต พวกเค้าจึงเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น การให้ต้นอ่อนข้าวสาลีแทนการให้ขนมตามปกติจะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักของแมวดียิ่งขึ้น
    2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน – หนึ่งในประโยชน์ของต้นอ่อนข้าวสาลีคือคุณค่าทางโภชนาการ มันถือเป็นแหล่งสารอาหารชั้นเยี่ยม เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน ไฟเบอร์ และโปรตีน ซึ่งส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของแมว
    3. เสริมสุขภาพช่องปากและฟัน – ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นของว่างที่ดีต่อสุขภาพเนื่องจากเป็นอาหารออร์แกนิก ผู้เลี้ยงสามารถปล่อยให้เจ้าเหมียวเคี้ยวเล่นได้โดยไม่ต้องกังวล ไม่ทำให้ฟันผุหรือฟันแตก นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีอ่อนยังช่วยเสริมสุขภาพช่องปากและฟันอีกด้วย 
    4. ชะลอวัย – สารอาหารที่มีอยู่ในต้นอ่อนข้าวสาลีมีส่วนช่วยในการต่อต้านริ้วรอย และยังมีคลอโรฟิลล์ที่เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณเลือด ทำให้แมวของคุณดูอ่อนกว่าวัย
    5. ช่วยให้ไตแข็งแรง – แมวต้องพึ่งพาไฟเบอร์มากขึ้นเมื่อมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร หากพบว่าแมวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีบ่อยขึ้น แสดงว่าพวกเค้าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร การย่อยอาหาร หรืออาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต แนะนำให้พาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อตรวจเช็กการทำงานของระบบทางเดินอาหารและไต
    6. เสริมการมองเห็น – ต้นอ่อนข้าวสาลีมีวิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นและบำรุงดวงตา

    ข้อเสียของต้นอ่อนข้าวสาลี

    แน่นอนว่าต้นอ่อนข้าวสาลีไม่ได้มีเพียงข้อดีเท่านั้น มันมีข้อควรระวังและข้อเสียด้วยเช่นกัน หากปล่อยให้เจ้าเหมียวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีมากเกินไป อาจเกิดผลกระทบดังนี้ได้

    1. ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม เนื่องจากแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ
    2. อาจมีอาการท้องเสียและอาเจียน หากเจ้าเหมียวท้องเสียและอาเจียนอย่างต่อเนื่อง ควรรีบพาไปพบสัตวแทพย์ในทันที

    หญ้าแมว vs ต้นอ่อนข้าวสาลี

    ทาสแมวส่วนใหญ่สับสนระหว่างหญ้าแมวกับต้นอ่อนข้าวสาลี หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ต้องกังวลไป เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณแยกแยะความแตกต่างของพืชทั้งสองชนิดนี้ได้

    แบรนด์อาหารแมวส่วนใหญ่มักใช้คำว่า “หญ้าแมว” กับส่วนประกอบที่เป็นพืชทุกชนิด มันอาจเป็นหญ้าชนิดใดก็ได้ ตั้งแต่ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ไปจนถึงต้นอ่อนข้าวสาลี หากคุณพบข้อความที่ระบุว่ามีหญ้าแมวบนผลิตภัณฑ์อาหารแมว แนะนำให้อ่านฉลากอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าเป็นส่วนประกอบชนิดใดและเลือกใช้แบบออร์แกนิกหรือไม่ 

    ทั้งนี้คุณสามารถให้ต้นอ่อนข้าวสาลีควบคู่ไปกับอาหารมื้อหลักได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสมและควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจให้ต้นอ่อนข้าวสาลีกับแมวที่บ้าน

Close modal