เจ้าของแมวล้วนคุ้นเคยกับอาการที่บ่งบอกว่าเจ้าเหมียวกำลังปวดท้องเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงครางเจ็บปวด การขย้อนอาหาร หรืออาการคลื่นไส้ แต่เมื่อเค้าแสดงอาการเหล่านี้แล้ว เจ้าเหมียวก็กลับไปร่าเริงเหมือนปกติ ปล่อยให้เจ้าของทำความสะอาดคราบบนพื้นที่กองอยู่
ซินเธีย โบเวนแห่งคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอก็คุ้นชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้เป็นอย่างดี ในฐานะเจ้าของแมวเมนคูน 4 ตัว ซินเธียผ่านการเช็ดคราบอาเจียนของเจ้าเหมียวมาไม่น้อย “ฉันเจอกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ประมาณ 2-3 เดือนครั้ง” เธอกล่าว “แต่นอกจากนี้แล้วเค้าก็ดูแข็งแรงดี”
แม้ว่าจะไม่ใช่หัวข้อที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร แต่การอาเจียนดูจะเป็นอาการที่เจ้าเหมียวทำเป็นปกติ เจ้าของแมวส่วนใหญ่ก็ยอมรับว่านี่เป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเป็นเจ้าของแมว แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป การทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าเหมียวปวดท้องและวิธีรับมือจะช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างคุณและเค้าให้สนิทกันมากขึ้น
ทำไมถึงควรเปลี่ยนอาหารของลูกแมวที่กำลังเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัยมาเป็นอาหารแมวโตระดับพรีเมียม … เพราะคุณภาพของอาหารคือคำตอบ
การรักษาระดับคุณค่าทางสารอาหารที่ลูกแมวได้รับมาตั้งแต่วัยเด็กจนโตเต็มวัยนั้นสำคัญมาก เจ้าเหมียวอาจมีปัญหาในการย่อยได้หากลดเกรดอาหารเป็นแบรนด์ตลาดทั่วไป เนื่องจากเค้าจะขาดสารอาหารชนิดเดียวกับที่ร่างกายเคยได้รับ
ลองนึกถึงเด็กทารก เมื่อถึงวัยที่เปลี่ยนมากินอาหารแข็งแล้ว คุณก็อยากให้สารอาหารที่ดีที่สุดกับเค้าใช่ไหมล่ะ เจ้าเหมียวก็เหมือนกัน เค้าต้องการอาหารที่เหมาะกับอายุเพื่อบำรุงและเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อาหารพรีเมียมอย่างไอแอมส์ผ่านการคิดค้นขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าเหมียวและยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานาชนิด
ไอแอมส์ผ่านการคิดค้นสูตรอาหารให้เหมาะกับแมวของคุณเพื่อมอบคุณประโยชน์ต่างๆ อาทิ
อาหารเกรดพรีเมียมที่มีโภชนาการที่เหมาะสมจะช่วยให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพดีและมีความสุข ด้วยอาหารแมวคุณภาพ คุณมั่นใจได้เลยว่าเค้าจะมีสุขภาพดีแข็งแรง โดยสังเกตได้จากสัญญาณสุขภาพดีต่อไปนี้ ไอแอมส์จะช่วยให้เจ้าเหมียวมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืน
จากการศึกษาวิจัยมาหลายทศวรรษ สูตรลับเฉพาะของไอแอมส์ช่วยรักษาสุขภาพแมวของคุณรวมถึงมีสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับแมวที่จะทำให้เค้ามีอายุยืนอยู่กับเราได้นาน ๆ ซึ่งแบรนด์ทั่วไปในท้องตลาดอาจไม่มีความเชี่ยวชาญเท่ากับไอแอมส์ที่มีความใส่ใจในอาหารทุก ๆ ถุง
เมื่อแมวของคุณอายุประมาณ 12 เดือน คุณสามารถเปลี่ยนมาให้อาหารพรีเมียมสูตรที่คิดค้นเพื่อสุขภาพที่ดีได้ทันที โดยระหว่างที่เพิ่งมาให้อาหารแมวโต อย่าลืมดูน้ำหนักและสภาพร่างกายของเจ้าเหมียวแล้วจึงปรับปริมาณอาหารตามความเหมาะสม
เนื่องจากแมวส่วนใหญ่กินอาหารเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แค่เทอาหารเอาไว้ให้เค้าก็เพียงพอแล้ว (การเทอาหารทิ้งไว้จะทำให้แมวกินอาหารได้ตลอดเวลา แถมเค้ายังเลือกปริมาณและเวลากินได้เองอีกด้วย) แต่แมวที่เลี้ยงในบ้านซึ่งไม่ค่อยออกกำลังกายอาจกินอาหารเยอะเกินไปได้หากเทอาหารทิ้งไว้ แมวที่เลี้ยงในลักษณะนี้จึงควรเปลี่ยนเป็นมาให้แบบควบคุมปริมาณวันละ 2 มื้อ
หากสงสัยว่าควรให้อาหารแมวปริมาณแค่ไหนจึงจะเหมาะสม ให้ดูที่ฉลากของผู้ผลิตเพื่อดูปริมาณที่แนะนำ ปฏิบัติตามคำแนะนำและชั่งน้ำหนักแมวเป็นประจำทุกสัปดาห์ หากแมวน้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ ให้ปรับปริมาณอาหารแล้วชั่งน้ำหนักอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา
เพื่อป้องกันปัญหาลำไส้แปรปรวนจากการเปลี่ยนอาหาร ให้คุณเปลี่ยนจากอาหารลูกแมวมาเป็นแมวโตภายใน 4 วัน โดยค่อย ๆ เปลี่ยนตามคำแนะนำด้านล่าง
แมวเหมียวเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับเสือและสิงโต แม้จะมีขนาดตัวเล็กกว่าและดุร้ายน้อยกว่า แต่ยังมีความต้องการทางกายภาพและโภชนาการที่คล้ายคลึงกัน โดยแมวและลูกแมวต้องการโปรตีนมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างเหมาะสม ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีโปรตีนสูงให้กับพวกเค้า
ลูกแมวต้องการโปรตีนสูงเพื่อเพิ่มพลังงาน การเลือกอาหารให้ลูกแมวจึงต้องพิจารณาจากปริมาณโปรตีนเป็นสำคัญ โดยอาหารแมวส่วนใหญ่จะเลือกใช้โปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์เพื่อให้ได้ปริมาณตรงตามความต้องการในแต่ละวันของลูกแมว แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นมาก แต่ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
อาหารโปรตีนสูงสำหรับลูกแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนและสมดุลควบคู่ไปกับสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงควรเลือกใช้แหล่งโปรตีนคุณภาพดีและย่อยง่ายด้วย
กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยของโปรตีน และมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานในร่างกาย เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น แมวต้องการกรดอะมิโนที่จำเป็นเพียง 2 ชนิดสำหรับการเจริญเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดี โดยในอาหารแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นดังต่อไปนี้
แน่นอนว่าอาหารแมวทุกประเภทมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ผู้เลี้ยงก็ยังคงต้องตรวจสอบปริมาณโปรตีนของอาหารแต่ละชนิด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของแมวในแต่ละช่วงวัย
แมวส่วนใหญ่ต้องการโปรตีนประมาณ 35% – 45% เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี โดยคุณสามารถเช็กปริมาณโปรตีนที่แมวต้องการได้จากตารางด้านล่างนี้
ช่วงวัย | ปริมาณโปรตีนโดยเฉลี่ย (%) |
ลูกแมว | 40 – 50% |
แมวโตเต็มวัย | 35 – 40% |
แม่แมวตั้งท้องหรือให้นมลูก | 45 – 50% |
แมวสูงวัย | 35 – 38% |
โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต การเสริมสร้างความแข็งแรง และยังเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมด้วย อาหารสำหรับลูกแมวจึงควรมีโปรตีนสูง ไม่เพียงแต่ในช่วงปีแรกเท่านั้น แต่รวมถึงช่วงวัยเจริญเติบโตด้วย นอกจากปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแล้ว แหล่งที่มาของโปรตีนก็สำคัญเช่นกัน โดยแหล่งโปรตีนที่พบบ่อยที่สุดในอาหารแมว มีดังนี้
แมวทุกตัวต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการโดยรวมที่ดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเค้าได้รับโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการแล้ว? โดยแมวโตทั่วไปควรได้รับโปรตีนประมาณ 35% จากอาหาร อ้างอิงจากข้อกำหนดของ AAFCO (องค์กรควบคุมอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกา) แมวต้องการโปรตีนอย่างน้อย 30% สำหรับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ และโปรตีนประมาณ 26% สำหรับการบำรุงรักษาร่างกาย หากอาหารผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพต่ำหรือมีปริมาณโปรตีนต่ำ อาจทำให้แมวมีอาการอาหารไม่ย่อยและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้
เนื่องจาก AAFCO กำหนดปริมาณโปรตีนในรูปแบบของวัตถุแห้ง ดังนั้นหากให้อาหารเปียกแก่ลูกแมวตัวน้อย คุณอาจต้องคำนวณปริมาณโปรตีนด้วยตนเอง โดยสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้
ขั้นตอนที่ 1 – คำนวณหาปริมาณวัตถุแห้งของอาหารโดยหักลงจากปริมาณความชื้นสูงสุด(%)
ขั้นตอนที่ 2 – นำปริมาณโปรตีนดิบ(%) มาหารด้วยปริมาณวัตถุแห้งที่ได้
ขั้นตอนที่ 3 – คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อให้ได้ปริมาณโปรตีนในรูปแบบร้อยละที่มีอยู่ในวัตถุแห้งของอาหาร
ตัวอย่าง อาหารมีความชื้น 75% มีโปรตีนดิบ 12%