IAMS TH
Feeding Guidelines for Your Cat
Feeding Guidelines for Your Cat

adp_description_block253
คู่มือการให้อาหารแมวฉบับมือโปร

  • แบ่งปัน

โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมว เจ้าตัวน้อยเหล่านี้ต้องการอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ สำหรับปริมาณอาหารที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ น้ำหนัก ระดับกิจกรรม และสุขภาพโดยรวม
 

สิ่งที่ต้องใส่ใจในการให้อาหารแมวคือการกำหนดปริมาณและการเลือกอาหารที่เหมาะสม อย่าให้อาหารมากเกินไป เพราะอาจนำไปสู่โรคอ้วนซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย หรือคุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดแนวทางการให้อาหารและจัดการกับความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียวที่คุณรักก็ได้

 

วิธีการให้อาหารแมว

จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราให้อาหารเจ้าเหมียวในเวลาที่เหมาะสมและในปริมาณที่เพียงพอ หากคุณสงสัยว่าควรเลือกอาหารแมวอย่างไร ต้องให้อาหารวันละกี่มื้อ แล้วสามารถให้อาหารเสริมหรือขนมกับแมวได้หรือไม่ มาค้นหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้
 

แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ พวกเค้าไม่ต้องการอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในทางกลับกัน แมวต้องการสารอาหารที่อยู่เนื้อสัตว์อย่างน้อย 70% เพื่อความอยู่รอดและมีสุขภาพที่ดี ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ

 

ควรวางแผนการให้อาหารแมวอย่างไร?

แนะนำให้แบ่งอาหารเป็นสองมื้อต่อวัน โดยเว้นระยะห่างกันไม่เกิน 12 ชั่วโมง หรือจะแบ่งออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อก็ได้ เช่น มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารมีแคลอรีและสารอาหารที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรามีพฤติกรรมการกินอย่างไร?

เมื่อเจ้าเหมียวคุ้นเคยกับการกินอาหารเป็นเวลา พวกเค้าจะค่อย ๆ แสดงพฤติกรรมการกินเฉพาะตัวออกมาให้เห็น เช่น เล่นกับอาหารก่อนกิน ชอบกินอาหารเพียงลำพัง หรือแอบเก็บอาหารเอาไว้ นิสัยเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย คุณไม่จำเป็นต้องกังวล แต่สำหรับพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง ได้แก่

  1. กินอาหารไม่หมด ทั้งที่ให้ในปริมาณปกติ

  2. น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

  3. ไม่ยอมกินอาหารนานเกิน 24 ชั่วโมง

หากแมวเหมียวของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับ

การกำหนดปริมาณอาหารต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการทางโภชนาการเฉพาะของแมว

 

อายุหรือช่วงวัย

ความต้องการทางโภชนาการของแมวจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย ลูกแมวในช่วงเดือนแรก ๆ จะเติบโตและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กเหล่านี้จึงต้องการอาหารที่อุดมไปด้วยพลังงาน โปรตีน และสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ในขณะที่แมวสูงวัยมักจะทำกิจกรรมน้อยลง อัตราการเผาผลาญก็ลดลง พวกเค้าจึงต้องการอาหารที่มีพลังงานเหมาะสมเพื่อควบคุมน้ำหนักและบำรุงข้อต่อ การปรับสูตรอาหารให้เหมาะกับวัยถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสุขภาพที่ดีและยืดอายุของแมวให้อยู่ได้นานมากขึ้น

 

ขนาดตัว

ขนาดตัวของแมวเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการกำหนดปริมาณแคลอรี แมวตัวใหญ่มักจะต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อรักษาระดับพลังงานและใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับร่างกาย ในทางกลับกัน แมวพันธุ์เล็กต้องการอาหารน้อยกว่าและต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน การเลือกสูตรอาหารที่เหมาะกับขนาดตัวจะทำให้แมวได้รับอาหารที่ตอบสนองความต้องการอย่างเพียงพอ

 

ระดับกิจกรรม

แมวที่มีความแอคทีฟสูง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง มักจะใช้พลังงานจำนวนมากและอาจต้องการพลังงานเพิ่มเติม ส่วนแมวที่ขยับตัวน้อยหรืออยู่แต่ในบ้านจำเป็นต้องได้รับการควบคุมอาหารอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักตัวเกินและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
 

เลี้ยงในบ้านและเลี้ยงนอกบ้าน

สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้กำหนดปริมาณอาหาร ไม่ว่าเลี้ยงในบ้านหรือนอกบ้านก็ส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานของเจ้าเหมียว แมวที่ถูกเลี้ยงนอกบ้านมักจะทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ต้องการปริมาณแคลอรีสูงเพื่อเติมพลังในการผจญภัย ส่วนแมวที่เลี้ยงในบ้านจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโรคอ้วน

 

สภาพร่างกาย

สภาพร่างกายเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมและน้ำหนักตัว สำหรับแมวที่มีน้ำหนักเกิน ควรเลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หรือหากแมวของคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว อาจต้องเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ รวมถึงอาจต้องเปลี่ยนวิธีการให้อาหารและหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดด้วย

 

ภาวะสุขภาพ

แมวที่มีปัญหาสุขภาพต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารมากเป็นพิเศษ เช่น แมวที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนแมวที่เป็นโรคไตอาจต้องกินอาหารสูตรพิเศษที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของไต และแมวที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจต้องเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ ขอแนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับการเลือกสูตรอาหารที่สอดคล้องกับความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าเหมียว

 

ควรให้อาหารแมววันละกี่ครั้ง?

ความถี่ในการให้อาหารจะพิจารณาจากอายุของแมว โดยคุณสามารถทำตามตารางแนะนำด้านล่างนี้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเหมียวจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสมในทุกช่วงวัย

 

Age

Schedule

1 สัปดาห์

ทุก ๆ 2 ชั่วโมง

1 – 2 สัปดาห์

ทุก 2 – 3 ชั่วโมง

2 – 3 สัปดาห์

ทุก 3 – 4 ชั่วโมง

3 – 4 สัปดาห์

ทุก 4 – 5 ชั่วโมง

4 – 5 สัปดาห์

ทุก 5 – 6 ชั่วโมง

5 – 8 สัปดาห์

ทุก ๆ 6 ชั่วโมง

8 – 16 สัปดาห์

ทุก 6 – 8 ชั่วโมง

4 – 5 เดือน

ทุก ๆ 8 ชั่วโมง

6 เดือนขึ้นไป

ทุก 8 – 12 ชั่วโมง

 

ควรให้อาหารแมวมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?

การกำหนดปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับอายุ ขนาด และระดับกิจกรรมของแมว หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือทำตามคำแนะนำที่ระบุบนผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอแอมส์™ ช่วงแรกอาจเริ่มให้อาหารในปริมาณที่แนะนำไปก่อน จากนั้นค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของเจ้าเหมียว และควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อต่อวัน

 

วิธีการเปลี่ยนอาหารให้แมว ทำอย่างไร?

สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้แมวคือต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นด้วยการให้อาหารในอัตราส่วนอาหารใหม่ 25% ต่ออาหารเก่า 75% หลังจากสามวันผ่านไป ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารใหม่และลดปริมาณอาหารเก่าลง

 

วิธีการให้อาหารแมวแบบเปียกและแบบเม็ด

เมื่อเข้าใจหลักการในการให้อาหารตามอายุและปัจจัยอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับถัดมาคือชนิดของอาหาร ควรให้อาหารเปียกหรืออาหารเม็ดกันนะ? อาหารทั้งสองชนิดมีประโยชน์เฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของแมวในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน เรามาดูข้อดีของอาหารทั้งสองชนิดนี้ประกอบการตัดสินใจไปด้วยกัน

 

อาหารเปียก VS อาหารเม็ด

เรารู้ดีว่าการตัดสินใจเลือกอาหารแมวต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เราจึงรวบรวมคุณประโยชน์ของอาหารแต่ละชนิดมาฝากทุกคน

 

ประโยชน์ของอาหารเม็ด

  1. อาหารเม็ดให้ง่าย จัดเก็บง่าย มีอายุการเก็บรักษานานกว่าอาหารเปียก และเมื่อเปิดแล้วไม่ต้องแช่เย็น แต่ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด

  2. เนื้อสัมผัสกรุบกรอบของอาหารเม็ดมีส่วนช่วยให้สุขภาพเหงือกและฟันดีขึ้น โดยการเคี้ยวอาหารเม็ดจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและหินปูนได้

  3. อาหารเม็ดมักจะมีราคาถูกกว่าอาหารเปียก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

  4. อาหารเม็ดมักจะมีปริมาณแคลอรีสูงกว่าอาหารเปียก หมายความว่าแม้จะให้ในปริมาณน้อยก็ยังสามารถให้พลังงานที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน จึงเป็นประโยชน์สำหรับแมวที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

 

ประโยชน์ของอาหารเปียก

  1. อาหารเปียกมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี เหมาะสำหรับน้องแมวที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำหรือกินน้ำไม่เพียงพอ

  2. เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มและรสชาติที่หลากหลายของอาหารเปียกช่วยเพิ่มความอยากอาหาร นำมาดึงความสนใจจากเจ้าเหมียวช่างเลือกได้เป็นอย่างดี

  3. อาหารเปียกอุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่หลากหลาย ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของแมว

  4. อาหารเปียกเหมาะสำหรับแมวที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะด้านหรือแมวที่ต้องการอาหารพิเศษ เพราะสามารถให้ร่วมกับยาหรืออาหารเสริมได้

ตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความชอบ ความต้องการด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของเจ้าเหมียวแต่ละตัว พ่อแม่บางคนอาจเลือกให้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารเปียกเพื่อให้แมวได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและรสชาติที่น่าพึงพอใจ ปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณเพื่อปรับอาหารให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียว

 

จำเป็นต้องให้อาหารทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดหรือไม่?

แม้ว่าอาหารเปียกจะมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกมื้อ อาหารเม็ดของไอแอมส์™ ผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรือเนื้อปลา อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนตามที่แมวต้องการ
 

แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการให้อาหารหรือการเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสม คุณหมออาจประเมินโภชนาการของแมวเพื่อพิจารณาว่าแมวของคุณต้องการอาหารประเภทใด

 

หากต้องกินอาหารเดิม ๆ ตลอดเวลา แมวจะเบื่อหรือไม่?

ไม่ แมวมักจะพอใจกับการกินอาหารเพียงชนิดเดียว โดยทั่วไปแล้วแมวจะกินอาหารเพื่อให้ได้รับพลังงานหรือสารอาหารที่ต้องการ พวกเค้ามีระบบย่อยอาหารสั้นมากและหากเปลี่ยนอาหารอย่างกะทันหันหรือเปลี่ยนตลอดเวลา อาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้การเปลี่ยนอาหารบ่อย ๆ ยังทำให้แมวมีนิสัยเลือกกินอีกด้วย

 

สามารถผสมน้ำกับอาหารเม็ดได้หรือไม่?

การเติมน้ำในอาหารเม็ดไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการเปลี่ยนไป แต่ต้องรีบกินให้หมด ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้นานเพราะเสี่ยงต่อการเน่าเสีย อย่างไรก็ตาม อาหารเม็ดถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะให้ง่าย สะดวก และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบของอาหารเม็ดก็ช่วยขัดฟันได้ดีด้วย

 

แมวกินอาหารสุนัขได้หรือไม่?

แมวและสุนัขมีความต้องการทางโภชนาการที่แตกต่างกันและไม่ควรกินอาหารของกันและกัน การกินอาหารของกันและกันเป็นครั้งคราวอาจไม่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเป็นประจำ

 

เราสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันกับแมวได้หรือไม่?

หากน้องแมวของคุณต้องการสารอาหารเพิ่มเติม คุณสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดไปได้ แต่หากคุณเลือกให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมใด ๆ เพิ่ม เพราะอาหารคุณภาพดีเหล่านี้มีปริมาณสารอาหารที่สมดุล อยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องให้อะไรเพิ่มอีก

 

หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการของสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม ควรทำอย่างไร?

คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงและโภชนาการของไอแอมส์ได้ที่เว็บไซต์ https://th.iams.asia/contact-us

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการให้อาหารแมว

  1. แมวควรกินอาหารมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?
  2. ปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาด อายุ และระดับกิจกรรม โดยทั่วไปแมวโตเต็มวัยต้องการพลังงานประมาณ 200 – 300 แคลอรี ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ชัดเจน

  3. ควรให้อาหารแมวมากแค่ไหน?
  4. ปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับขนาด อายุ และระดับกิจกรรมของแมว คุณสามารถทำตามคำแนะนำที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์อาหารหรือปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

  5. แมวควรกินอาหารเปียกบ่อยแค่ไหน?
  6. การให้อาหารเปียกวันละ 1 – 2 ครั้ง ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเพิ่มความหลากหลายได้ สิ่งสำคัญคือต้องปรับปริมาณอาหารเปียกและอาหารเม็ดเพื่อให้มีสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการทางโภชนาการของแมว

  7. เราจำเป็นต้องให้อาหารแมวทุกวันหรือไม่?
  8. แมวต้องกินอาหารทุกวัน กำหนดเวลาอาหารให้ชัดเจนและทำเป็นกิจวัตรเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการและเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

  9. จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรากำลังหิว?
  10. คุณสามารถสังเกตได้จากภาษากายและสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น ส่งเสียงร้อง อยู่ไม่นิ่ง หรือเดินเข้าใกล้ชามอาหาร แนะนำให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมของแมวและจัดตารางการให้อาหารอย่างชัดเจนจะได้เข้าใจพฤติกรรมการกินของพวกเค้าได้ดีขึ้น

  • เผย 8 เคล็ดลับดูแลลูกแมวให้เติบโตอย่างแข็งแรง
    เผย 8 เคล็ดลับดูแลลูกแมวให้เติบโตอย่างแข็งแรง
    adp_description_block15
    วิธีดูแลลูกแมวแรกเกิดให้มีสุขภาพดี

    • แบ่งปัน

    ในโลกออนไลน์ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยรูปภาพและคลิปวิดีโอของแมวเหมียว นั่นเพราะความน่ารักน่าเอ็นดูและนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเค้า ไม่น่าแปลกใจเลยที่ใครหลาย ๆ คนอยากมีลูกแมวเป็นของตัวเอง แต่รู้ไหมว่าเจ้าตัวน้อยเหล่านี้บอบบางและจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี หากคุณรับเลี้ยงลูกแมวกำพร้าแม่ คุณอาจต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ และควรเรียนรู้วิธีการดูแลลูกแมวเพิ่มเติมด้วย
     

    สำหรับมือใหม่หัดเลี้ยง เรามีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นเส้นทางการดูแลลูกแมวได้อย่างราบรื่น ตั้งแต่การนัดพบสัตวแพทย์ การเลือกอาหาร ไปจนถึงการดูแลทำความสะอาด ติดตามเรื่องราวน่ารู้ทั้งหมดได้ในบทความนี้
     

    ตรวจสุขภาพเป็นประจำ

    เมื่อรับลูกแมวเข้าบ้านแล้ว แนะนำให้พาไปตรวจสุขภาพเบื้องต้นกับสัตวแพทย์กันก่อน หากพบปัญหาหรืออาการผิดปกติก็สามารถทำการรักษาได้ทันที นอกจากนี้คุณหมอจะแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนและการทำหมันเพิ่มเติมด้วย หากคุณเป็นทาสแมวมือใหม่ นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ
     

    จัดเตรียมน้ำให้เพียงพอ

    เนื่องจากลูกแมวที่มีภาวะขาดน้ำมักจะเสี่ยงต่อโรคและการติดเชื้อสูง แนะนำให้วางชามน้ำหลาย ๆ จุดรอบบ้าน หลีกเลี่ยงบริเวณกระบะทรายหรือมุมขับถ่าย รวมถึงทำความสะอาดชามเหล่านี้เป็นประจำและหมั่นเปลี่ยนน้ำเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
     

    เลือกโภชนาการที่เหมาะสม

    ลูกแมวแรกเกิดควรได้รับน้ำนมแม่ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก อย่างไรก็ตาม ลูกแมวจรจัดหรือลูกแมวไร้บ้านมักจะถูกแยกจากแม่ตั้งแต่อายุยังน้อย หากคุณรับเลี้ยงลูกแมวเหล่านี้ คุณอาจต้องปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อเรียนรู้วิธีการดูแลและการเลือกโภชนาการที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจว่าลูกแมวจะได้รับสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการ โดยคุณอาจต้องเปลี่ยนสูตรอาหารให้เหมาะสมกับช่วงวัยด้วย
     

    แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ อาหารแมวจึงควรมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก และต้องมาจากแหล่งโปรตีนคุณภาพเยี่ยม อย่างอาหารแมวไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรแม่และลูกแมว ที่อัดแน่นไปด้วยโปรตีนคุณภาพดีจากเนื้อไก่และโอเมก้า 3 มีส่วนผสมของโคลอสตรุมและดีเอชเอ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการดวงตาและสมอง
     

    ดูแลเอาใจใส่และมอบความรักให้อย่างสม่ำเสมอ

    แม้ว่าแมวจะมีนิสัยรักอิสระและชอบความเป็นส่วนตัว แต่ในบางครั้งพวกเค้าก็ชอบให้กอด ให้อุ้ม และชอบให้เอาอกเอาใจ พวกเค้ามีวิธีแสดงความรักในแบบของตัวเอง ให้เวลาลูกแมวตัวใหม่ของคุณได้ปรับตัว ค่อย ๆ เข้าหาและเริ่มสัมผัสพวกเค้าอย่างอ่อนโยน อาจใช้ของเล่นมาช่วยดึงความสนใจ โดยลูกแมวส่วนใหญ่ชอบเล่นกับกระดิ่ง เชือก หรืออะไรก็ตามที่พวกเค้าสามารถวิ่งไล่ตามได้
     

    แนะนำให้รู้จักกับสมาชิกในครอบครัว

    หลังจากรับลูกแมวเข้าบ้านแล้ว คุณควรเปิดโอกาสให้เจ้าตัวน้อยทำความรู้จักกับสมาชิกในครอบครัวและสัตว์เลี้ยงตัวอื่นตั้งแต่แรกเริ่ม โดยการแนะนำลูกแมวตัวใหม่ควรทำภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับบ้านที่มีน้องหมาอยู่ก่อน คุณควรฝึกให้น้องหมาคุ้นเคยกับกลิ่นของลูกแมว เพื่อป้องกันสัญชาตญาณการล่าเหยื่อ อย่างไรก็ตาม น้องหมาบางสายพันธุ์ก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น 
     

    การฝึกเข้าสังคมเป็นสิ่งสำคัญ ควรให้ลูกแมวพบเจอผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงตัวอื่นเป็นครั้งคราว เพื่อให้พวกเค้าปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ง่าย วิธีนี้มีประโยชน์มากเมื่อถึงเวลาพบสัตวแพทย์หรือเมื่อต้องเข้าร้านอาบน้ำตัดขน
     

    ดูแลขนลูกแมวเป็นประจำ

    แมวชอบดูแลตัวเองและใส่ใจกับรูปร่างหน้าตามากเป็นพิเศษ แม้ว่าพวกเค้าจะดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็อาจต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะเมื่อเนื้อตัวมอมแมม ทั้งนี้การแปรงขนไม่เพียงแต่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกและเส้นขนที่ตายแล้วเท่านั้น แต่ยังช่วยนวดผิวหนังเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ลูกแมวของคุณมีสุขภาพผิวหนังที่ดีและเส้นขนเงางามอีกด้วย
     

    ฝึกลูกแมวเข้ากระบะทราย

    การฝึกเข้ากระบะทรายถือเป็นหนึ่งในการฝึกที่สำคัญที่สุด เริ่มจากเลือกกระบะทรายที่มีขนาดเหมาะกับตัวลูกแมว ส่วนทรายแมวอาจต้องทดลองใช้หลาย ๆ ชนิดเพื่อค้นหาชนิดที่ถูกใจเจ้าเหมียวที่สุด โชคดีที่แมวส่วนใหญ่มักจะขับถ่ายในพื้นผิวที่เป็นทราย การฝึกนี้จึงมีโอกาสสำเร็จสูง แต่หากลูกแมวไม่ยอมเข้ากระบะทรายในทันที ให้เวลาพวกเค้าปรับตัวกันสักพัก และหมั่นทำความสะอาดกระบะทรายเป็นประจำด้วย
     

    เตรียมพื้นที่พักผ่อนสำหรับลูกแมว

    ลูกแมวและแมวมักจะงีบหลับกันในช่วงกลางวัน โดยลูกแมวสามารถนอนได้ถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน! ในช่วงสองสามคืนแรก ลูกแมวอาจส่งเสียงร้องบ่อย เนื่องจากยังปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ไม่ดี คุณอาจจับพวกเค้านอนข้างเตียงเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล เมื่อพวกเค้าเริ่มคุ้นเคยกับพื้นที่ใหม่และนอนหลับได้นานหลายชั่วโมงแล้ว สามารถจัดเตรียมมุมสบาย ๆ อากาศถ่ายเท และเงียบสงบให้พวกเค้าพักผ่อนตามลำพังได้

Close modal