ช่วงที่สุนัขตั้งท้องและช่วงที่สุนัขให้นมลูกการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการกายของพวกเขาเท่านั้น แต่การดำเนินชีวิตของสุนัขเองก็เปลี่ยนไปด้วย หากสุนัขของคุณกำลังอยู่ในช่วงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก เจ้าของควรให้การเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษกับความต้องการทางโภชนาการที่เปลี่ยนแปลงของสุนัขตั้งแต่ช่วงที่ตั้งท้อง คลอด และให้นมลูก
โภชนาการและการควบคุมน้ำหนักตัวเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับสุขภาพของแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้อง แม้ว่าแม่สุนัขไม่จำเป็นต้องพบสัตวแพทย์บ่อยเหมือนกับคนเรา แต่เจ้าของก็ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลสุนัขตั้งท้องอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการป้องกันปัญหาปรสิตทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เนื่องจากเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแม่สุนัขและลูกตัวน้อย
แน่นอนว่าการตั้งท้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะเดียวกันการดูแลสุนัขตั้งท้องก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ยิ่งในช่วงสัปดาห์แรกของการตั้งท้อง เจ้าของจำเป็นต้องดูแลพวกเค้าอย่างใกล้ชิด
โดยอาการเหล่านี้คืออาการที่บ่งบอกว่าสุนัขของคุณกำลังตั้งท้อง –
น้องหมาตั้งท้องมักจะเหนื่อยง่ายและนอนหลับมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในน้องหมาที่ชอบพักผ่อนมากกว่าทำกิจกรรม ในกรณีนี้ให้สังเกตเวลาพวกเค้าเดินว่าเหนื่อยง่ายหรือเหนื่อยเร็วกว่าปกติหรือไม่แทน
พฤติกรรมบางอย่างของน้องหมาตั้งท้องอาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น ต้องการความสนใจจากเจ้าของมากขึ้น อยากอยู่ด้วย เข้าหาบ่อยขึ้น แต่บางครั้งพวกเค้าก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว หากถูกรบกวนก็อาจแสดงท่าทางไม่พอใจหรือหงุดหงิดใส่ได้
การกินอาหารผิดปกติเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้ในสุนัขตั้งท้อง โดยแม่สุนัขบางตัวอาจกินอาหารน้อยลง มีอาการอาเจียนเป็นครั้งคราวในช่วงแรกหรือในช่วงระหว่างการตั้งท้อง แต่บางตัวก็อาจกินอาหารมากกว่าปกติ และไม่พอใจกับมื้ออาหารทั่วไป ความผิดปกติเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการตั้งท้องของสุนัขคือหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามการขยายตัวของหน้าท้องไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่จะเริ่มสังเกตเห็นได้ในช่วงปลายของการตั้งท้องแล้ว หากพบว่าหน้าท้องของพวกเค้าใหญ่ขึ้น แนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที
น้องหมาตั้งท้องจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเวลาให้อาหาร
ความต้องการพลังงานของน้องหมาตั้งท้องจะสูงขึ้นตามน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น สัตวแพทย์อาจแนะนำสูตรอาหารที่ให้พลังงานสูง รวมถึงมีไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากสูตรอาหารที่ต้องเลือกอย่างดีแล้ว การกำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากให้ปริมาณมากไปก็อาจทำให้แม่สุนัขมีน้ำหนักเกินได้
ระยะเวลาตั้งท้องของสุนัขอยู่ที่ประมาณ 9 สัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์ที่ 6 และ 7 ควรดูแลสุนัขตั้งท้องให้ได้รับปริมาณอาหารที่ไม่มากจนเกินไป และควรเปลี่ยนมาให้อาหารสูตรลูกสุนัข เนื่องจากมีพลังงานและสารอาหารมากกว่าสูตรทั่วไป ช่วยให้แม่สุนัขแข็งแรง ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และพร้อมสำหรับการให้นมลูกตัวน้อย เมื่อเริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แม่สุนัขจะอยากอาหารน้อยลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเค้าใกล้คลอดเจ้าตัวน้อยออกมาแล้ว
สำหรับแม่สุนัขที่อยู่ในช่วงตั้งท้องและช่วงให้นมลูก การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับสภาพร่างกายเท่านั้น แต่การใช้ชีวิตและความต้องการทางโภชนาการของพวกเค้าก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย การดูแลสุนัขตั้งท้องอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
| สัปดาห์ที่ 1 และ 2 |
|
| สัปดาห์ที่ 3 และ 4 |
|
สัปดาห์ที่ 5 และ 6 |
|
สัปดาห์ที่ 7 และ 8 |
|
สัปดาห์ที่ 9 |
|
ก่อนการตั้งท้องของสุนัข:
ก่อนการตั้งท้องของสุนัข เจ้าของควรวางแผน ประเมินสุขภาพร่างกาย และปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยเสียก่อน
ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้วัคซีนในสุนัขและแมว แนะนำให้ฉีดวัคซีนดังต่อไปนี้:วัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข
วัคซีนป้องกันพาร์โวไวรัส
วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (เรบีส์)
หากได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนตั้งแต่ก่อนตั้งท้องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมอีก ซึ่งสัตวแพทย์เองก็ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนให้กับแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้อง
ความแตกต่างหลักระหว่างสุนัขพันธุ์ใหญ่และสุนัขพันธุ์เล็กในช่วงตั้งท้องคือความต้องการทางโภชนาการ โดยสุนัขพันธุ์เล็กต้องการพลังงานมากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ เพื่อบำรุงลูกตัวน้อยในท้องและเพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอต่อการเลี้ยงลูก ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 แม่หมาตั้งท้องอาจต้องกินอาหารมากขึ้นถึง 3 เท่า เพื่อให้การผลิตน้ำนมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้สมดุล ส่วนในช่วงใกล้คลอด แม่หมาต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าน้องหมาทั่วไปถึง 15% - 25%
ทั้งนี้การเลือกสูตรอาหารให้แม่สุนัขตั้งท้องควรพิจารณาจากขนาดของสายพันธุ์ด้วย
หากคุณวางแผนจะเพิ่มจำนวนสมาชิกมะหมา ก่อนการผสมพันธุ์ควรประเมินสุขภาพร่างกายของว่าที่แม่สุนัขเป็นอันดับแรก เนื่องจากร่างกายของพวกเค้าจะมีความต้องการทางโภชนาการและการดูแลเปลี่ยนแปลงไป โดยสุนัขที่มีน้ำหนักไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน มักมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ:
สุนัขที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์มักมีปัญหาในการกินอาหารได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตัวเองและลูกน้อยในท้อง
สุนัขที่มีน้ำหนักเกินอาจประสบปัญหาคลอดยาก เนื่องจากลูกสุนัขมีขนาดตัวใหญ่เกินไป
เจ้าของต้องมั่นใจว่าแม่สุนัขได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลในปริมาณที่เหมาะสม สิ่งนี้จะช่วยให้ว่าที่แม่สุนัขมีน้ำหนักตัวเหมาะสมและมีร่างกายแข็งแรงพร้อมผสมพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้การตั้งท้องไปจนถึงการคลอดและให้นมลูกเป็นไปอย่างราบรื่น
ระยะเวลาตั้งท้องของสุนัขคือเก้าสัปดาห์ ในช่วงแรกสุนัขตั้งท้องจะมีน้ำหนักเพิ่มเพียงเล็กน้อย จนเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่หก น้ำหนักจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว และหลักจากนั้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
สุนัขตั้งท้องจะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น โดยจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ความต้องการจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่การตั้งท้องในสัปดาห์ที่ 6 โดยแม่สุนัขจะกินอาหารมากกว่าปกติประมาณ 25% - 50% ในช่วงใกล้คลอด
อาหารที่ดีที่สุดสำหรับแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้องและต้องให้นมลูกคือ อาหารคุณภาพดี โภชนาการครบถ้วน และเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัย แม้ว่าโดยทั่วไปจะแนะนำให้กินอาหารสูตรลูกสุนัข แต่อาหารสูตรสำหรับลูกสุนัขพันธุ์ใหญ่อาจไม่ค่อยเหมาะสม เนื่องจากร่างกายของแม่สุนัขมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ต้องการพลังงานและแร่ธาตุแตกต่างจากช่วงปกติ
ควรหลีกเลี่ยงอาหารดิบหรืออาหารที่ไม่ปรุงสุก สามารถให้อาหารสูตรสำหรับสุนัขตั้งท้องหรือสูตรสำหรับลูกสุนัขตามการแนะนำของสัตวแพทย์ โดยไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมหรือวิตามินเพิ่มเติม
อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับแม่หมาตั้งท้องคือการให้อาหารสุนัขไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรแม่และลูกสุนัข เพราะมีส่วนช่วยในการเพิ่มน้ำนม เสริมสร้างพัฒนาการของลูกสุนัขตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และยังมีสารอาหารสำคัญอย่างดีเอชเอที่ช่วยในการทำงานของระบบสมองให้ลูกสุนัขมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้นด้วย
แม้ว่าหลังคลอดแม่สุนัขจะมีน้ำหนักตัวลดลงแล้ว แต่พวกเค้ายังคงต้องการสารอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งความต้องการนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนลูกสุนัขและการให้นม โดยแม่สุนัขอาจต้องการอาหารมากกว่าปกติ 2 - 3 เท่า เพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกตัวน้อย นอกจากนี้ควรเช็กให้แน่ใจว่าแม่สุนัขได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพราะมันมีส่วนช่วยในการผลิตน้ำนมด้วยเช่นกัน
เพื่อให้แม่สุนัขที่อยู่ในช่วงให้นมลูกได้รับสารอาหารที่เพียงพอ คุณสามารถลองใช้เทคนิคเหล่านี้ได้:
<ul><li> เลือกให้อาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน เช่น อาหารสูตรสำหรับลูกสุนัข
<ul><li> หลีกเลี่ยงการเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ แต่ให้เพิ่มจำนวนมื้ออาหารตลอดวันแทน
<ul><li> แนะนำให้เทอาหารเม็ดทิ้งไว้ เพื่อให้แม่สุนัขเข้าถึงได้ตลอดทั้งวัน
ในช่วง 4 - 5 สัปดาห์หลังคลอด ลูกสุนัขจะเริ่มให้ความสนใจในอาหารของแม่ เจ้าตัวน้อยจะกินอาหารอื่นมากขึ้นและดูดนมน้อยลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขจะหย่านมเมื่ออายุประมาณ 7 - 8 สัปดาห์ ในเวลานี้ร่างกายของแม่สุนัขจะเปลี่ยนไปมีความต้องการพลังงานในระดับปกติ จึงกลับไปกินอาหารสูตรเดิมก่อนการตั้งท้องหรือสูตรทั่วไปได้แล้ว

สุนัขตั้งท้องควรเปลี่ยนมากินอาหารที่ให้พลังงานสูง (ควรเปลี่ยนหลังตั้งท้องได้หนึ่งเดือน) อาหารควรมีปริมาณโปรตีน 22% และปริมาณแคลอรี่ที่ย่อยได้ประมาณ 1600 กิโลแคลอรี
สุนัขที่อยู่ในระหว่างการคลอดลูก มักจะไม่ยอมกินอาหาร เนื่องจากกระบวนการคลอด ทำให้เหนื่อย อ่อนเพลีย ท้องไส้ปั่นป่วน มีอาการอาเจียน และรู้สึกไม่สบายตัว หากให้แม่สุนัขกินอาหารทันทีหลังคลอด พวกเค้าอาจมีอาการอาเจียนได้
สุนัขจะมีโอกาสตั้งท้องสูงเมื่อได้รับการผสมพันธุ์ในช่วงติดสัด ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละครั้งหรือสองครั้งขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สุนัขจะเข้าสู่ช่วงติดสัดเมื่อมีอายุประมาณ 6 เดือน โดยช่วงนี้จะกินเวลาประมาณ 3 สัปดาห์
แม่สุนัขก็อาจมีการคิดถึงลูกตัวน้อยได้ ดังนั้นควรวางแผนการแยกลูกสุนัขจากแม่ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มผสมพันธุ์
หลังจากคลอดลูกแล้ว สุนัขสามารถตั้งท้องได้อีกแต่ก็จะขึ้นอยู่กับช่วงติดสัดด้วย ทางที่ดีจึงควรแยกสุนัขตัวผู้ออกห่างจากแม่สุนัขก่อน เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์โดยไม่ตั้งใจ
น้องหมามีอาการคัน เกา เลีย หรือกัดแทะตัวเองไม่หยุดอยู่ใช่หรือไม่? พวกเค้ากำลังงับอุ้งเท้าตัวเองไปมาอยู่ใช่มั้ย? หากใช่! อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ที่น้องหมาของคุณจะเป็นภูมิแพ้
น้องหมาเองก็มีแนวโน้มที่จะแพ้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อม สภาพอากาศ หรือในอาหารได้เช่นเดียวกับคนเรา แต่แตกต่างกันที่อาการแพ้ของคนมักดีขึ้นได้ แต่สำหรับน้องหมานั้น อาการจะย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น โรคภูมิแพ้สุนัขจึงเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของการพาน้องหมาไปพบสัตวแพทย์เลยทีเดียว โดยส่วนใหญ่มักพบอาการแพ้บริเวณผิวหนังและหู
ทั้งนี้โรคภูมิแพ้สุนัขต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยสัตวแพทย์เท่านั้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้องหมามีอาการแพ้หรือกำลังแพ้อะไรอยู่? น่าเสียดายที่การวินิจฉัยสาเหตุของภูมิแพ้ในสุนัขไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับน้องหมาไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร เจ้าของจึงจำเป็นต้องหมั่นสังเกตอาการเตือนต่าง ๆ อย่างสุนัขแพ้อาหารอาการก็มักเกี่ยวกับผิวหนัง หรือบางรายอาจมีอาการอาเจียนและท้องเสียร่วมด้วยก็ได้
ซึ่งอาการแพ้ของสุนัขที่เจ้าของควรหมั่นสังเกตและระมัดระวัง มีดังต่อไปนี้:
อาการแพ้ของสุนัขพบได้หลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วย:
หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง สารก่อภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม เช่น เชื้อรา ฝุ่น และละอองเกสรดอกไม้ ทำให้น้องหมาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ สิ่งเร้าเหล่านี้พบได้ในบริเวณบ้าน ในสวน หรือที่ใดก็ตามที่น้องหมาของคุณอาศัยอยู่ มันจะซึมเข้าไปในผิวหนังก่อนก่อให้เกิดอาการแพ้ โดยบริเวณที่มักจะแสดงอาการคือหูและอุ้งเท้า หรืออาจพบอาการในบริเวณปาก ข้อเท้า รอบดวงตา ใต้วงแขน ง่ามขา และผิวหนังระหว่างนิ้วเท้าได้ด้วยเช่นกัน
อาการแพ้ที่เกิดจากหมัดสามารถพบได้บ่อย เนื่องจากน้องหมาแพ้น้ำลายของหมัดที่มากัดตามผิวหนัง ส่งผลให้เกิดอาการคันอย่างรุนแรง ผิวหนังอักเสบ มีรอยแดง และมีแผลแห้งตกสะเก็ด โดยเฉพาะบริเวณโคนหาง
สุนัขแพ้อาหารอาการคันจะพบได้บ่อย พวกเค้าอาจแพ้สารอาหารจำพวกโปรตีน เช่น เนื้อวัว (34%) ผลิตภัณฑ์นม (17%) และเนื้อไก่ (15%) ถึงแม้ว่าสุนัขแพ้อาหารอาการมักเกี่ยวกับผิวหนัง แต่ในน้องหมาบางรายก็อาจอาเจียนหรือท้องเสียด้วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามน้องหมามีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้อาหารได้ตลอดชีวิต และเสี่ยงต่อการแพ้อาหารได้ทุกประเภท
ภูมิแพ้ทางเดินหายใจเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ทั่วไป เช่น ฝุ่น หญ้า ต้นไม้ เชื้อรา และละอองเกสร อาการแพ้ลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นเป็นบางช่วงหรือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับน้องหมาบางสายพันธุ์ (โดยเฉพาะพันธุ์หน้าสั้น) อาจมีอาการคัดจมูกและจามด้วย แต่อาการแพ้บริเวณผิวหนังมักจะเกิดขึ้นบ่อยที่สุด ทั้งนี้ภูมิแพ้ทางเดินหายใจควรได้รับการดูแลรักษาตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น
อาการแพ้ของสุนัขแต่ละตัวอาจแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลที่เหมาะสม
อาการคันเป็นกลุ่มอาการทางผิวหนังที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของน้องหมาเป็นอย่างมาก โดยสุนัขจะกัดแทะ เกา หรือเลียผิวหนังมากผิดปกติ
การเลียตัวบ่อยหรือเลียตัวไม่หยุดเป็นหนึ่งในอาการแพ้ของสุนัข โดยเฉพาะในบริเวณอุ้งเท้า อาการนี้อาจเกิดจากสิ่งเร้าที่พบในได้บ้าน หรือพบขณะพาน้องหมาออกไปเดินเล่น หรืออาจเกิดจากการแพ้อาหารได้ด้วยเช่นกัน
เป็นอีกหนึ่งอาการแพ้ในสุนัขที่พบได้บ่อย โดยอาจเกิดจากสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม เช่น หญ้า ละอองเกสร และไรฝุ่น เมื่อสิ่งเร้าเหล่านี้ซึมเข้าสู่ผิวหนังก็จะส่งผลให้เกิดการอักเสบและอาการระคายเคือง ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมกัดแทะในบริเวณที่มีอาการดังกล่าว
น้องหมาอาจมีอาการคันหรือมีรอยแดงบนผิวหนัง อาการแพ้เหล่านี้พบได้บ่อยในโรคภูมิแพ้สุนัขทุกประเภท หากนี่เป็นอาการเดียวที่คุณสังเกตเห็น คุณสามารถรอเวลาสัก 1 -2 วันก่อนจะพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์
มันอาจต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อหาวิธีบรรเทาอาการแพ้ในสุนัข โดยหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพคือการอาบน้ำด้วยแชมพูสูตรสำหรับผิวบอบบาง (Hypoallergenic Shampoos) วิธีนี้จะช่วยขจัดสารก่อภูมิแพ้ เช่น หญ้าหรือละอองเกสรออกจากร่างกายน้องหมาได้
การป้องกันเห็บหมัดเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการเกิดภูมิแพ้ในหมาได้ การทำความสะอาดบ้านและสภาพแวดล้อมโดยรอบก็ช่วยตัดวงจรชีวิตของเจ้าปรสิตตัวร้ายเหล่านี้ได้เช่นกัน
นอกจากนี้ควรเลือกสูตรอาหารที่มีแหล่งโปรตีนคุณภาพดีหรือผ่านการออกแบบเพื่อสุนัขที่เป็นภูมิแพ้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ในช่วงเปลี่ยนอาหารเพื่อทดสอบว่าน้องหมามีอาการแพ้หรือไม่ ควรหลีกเลี่ยงการให้ยา ขนม หรืออาหารของคน คุณอาจปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำด้านโภชนาการเพิ่มเติมได้
อิงลิช บูลล์ด็อกมักมีปัญหาน้ำลายไหล ซึ่งเมื่อโปรตีนที่อยู่ในน้ำลายสัมผัสกับอากาศก็อาจส่งผลให้น้องหมาเกิดอาการแพ้ได้
ระบบภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นของอเมริกันบูลล์ด็อกสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หากพบว่าพวกเค้ามีอาการคัน มีรอยแดงบนผิวหนัง หรือเลียอุ้งเท้า นั่นแปลว่าพวกเค้ามีแนวโน้มที่จะเป็นภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้อาหารและโรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัสสามารถพบได้บ่อยในน้องหมาสายพันธุ์นี้ นอกจากนี้พวกเค้ายังมีแนวโน้มเป็นภูมิแพ้น้ำลายหมัด และมักจะแพ้สิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม ทั้งละอองเกสรดอกไม้ เศษฝุ่น หญ้า และต้นไม้บางชนิดอีกด้วย
น้องหมาพันธุ์นี้เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ชนิดสัมผัส พวกเค้าอาจแพ้ไม้ประดับในบ้าน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือแม้แต่แชมพูสำหรับสุนัขบางชนิด อาการแพ้มักปรากฏบริเวณผิวหนัง ให้หมั่นสังเกตรอยแดง ผิวหนังที่ลอกเป็นขุย หรือผื่นบริเวณอุ้งเท้า หน้าท้อง และหูทั้งสองข้าง
สุนัขแพ้อาหารอาการมักจะเกี่ยวข้องกับผิวหนัง ซึ่งบ็อกเซอร์เป็นสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้อาหารสูง จึงมักพบอาการแพ้บริเวณผิวหนังได้บ่อย โดยบ็อกเซอร์ค่อนข้างไวต่ออาหารสุนัขที่มีส่วนประกอบของธัญพืช อย่างเช่นข้าวสาลีหรือข้าวโพด นอกจากนี้พวกเค้ายังแพ้สิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม เช่น เกสรดอกไม้ ต้นไม้บางชนิด เศษฝุ่น และวัชพืชด้วย
สปอร์เชื้อรามีอยู่ทั่วไปรอบตัวเรา เมื่อน้องหมาสูดดมเข้าไป อาจทำให้มีอาการหายใจลำบาก มีเสียงฟืดฟาดหรือฮืดฮาดขณะหายใจ และอาจมีอาการจามร่วมด้วย ภูมิแพ้ในสุนัขยังอาจเกิดจากการกินอาหารหรืออาศัยอยู่ในบ้านที่มีเชื้อราได้อีกด้วย อาการบ่งบอกที่พบได้คือการกัดแทะและการเกามากผิดปกติ รวมถึงอาจมีผิวแห้งหรือพบแผลตกสะเก็ด
น้ำมันซีบัม (Sebum) มีหน้าที่สร้างความชุ่มชื้นให้กับผิวของน้องหมา แต่หากถูกผลิตออกมามากเกินไป จะทำให้เกิดรังแคและสะเก็ดผิวหนัง ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในสุนัขได้
น้ำลายของหมัดจะซึมเข้าไปในผิวหนังของสุนัข ส่งผลให้เกิดการอักเสบและทำให้เกิดอาการคันได้
การแพ้ไรฝุ่นเกิดจากแมลงตัวเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายแมงมุม พวกมันอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในบ้าน และกินสะเก็ดผิวหนังเป็นอาหาร
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่โรคภูมิแพ้สุนัขไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่โชคดีที่คุณสามารถบรรเทาอาการแพ้ของสุนัขได้ เริ่มต้นจากหาสาเหตุที่แท้จริงกันก่อน เพื่อให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าได้ถูก ทั้งนี้เพื่อป้องกันอาการระคายเคืองและการติดเชื้อบริเวณผิวหนังและหู หากพบว่าน้องหมามีอาการคัน ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
คุณสามารถปกป้องเจ้าตัวน้อยจากอาการแพ้ได้โดยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ เพียงแค่หมั่นทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้าน การอาบน้ำน้องหมาด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนก็สามารถช่วยบรรเทาอาการแพ้ได้เช่นกัน
อาการแพ้ที่พบบ่อย มีดังต่อไปนี้:
การดูแลรักษาด้วยวิธีเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการแพ้บริเวณผิวหนังได้ดี:
โรคภูมิแพ้สุนัขไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความอดทนและการช่วยเหลือจากสัตวแพทย์ คุณจะสามารถหาวิธีดูแลและรับมือกับปัญหาภูมิแพ้ในสุนัขได้อย่างเหมาะสมในท้ายที่สุด
