IAMS TH
Nutritional Needs of Pregnant and Nursing Dogs
Nutritional Needs of Pregnant and Nursing Dogs

adp_description_block130
การดูแลสุนัขตั้งท้อง

ความต้องการทางโภชนาการของสุนัขตั้งท้องและสุนัขช่วงให้นมลูก

  • แบ่งปัน

ช่วงที่สุนัขตั้งท้องและช่วงที่สุนัขให้นมลูกการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับการกายของพวกเขาเท่านั้น แต่การดำเนินชีวิตของสุนัขเองก็เปลี่ยนไปด้วย หากสุนัขของคุณกำลังอยู่ในช่วงตั้งท้องหรืออยู่ในช่วงให้นมลูก เจ้าของควรให้การเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษกับความต้องการทางโภชนาการที่เปลี่ยนแปลงของสุนัขตั้งแต่ช่วงที่ตั้งท้อง คลอด และให้นมลูก

โภชนาการและการควบคุมน้ำหนักตัวเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับสุขภาพของแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้อง แม้ว่าแม่สุนัขไม่จำเป็นต้องพบสัตวแพทย์บ่อยเหมือนกับคนเรา แต่เจ้าของก็ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลสุนัขตั้งท้องอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการป้องกันปัญหาปรสิตทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เนื่องจากเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแม่สุนัขและลูกตัวน้อย

 

แน่นอนว่าการตั้งท้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ในขณะเดียวกันการดูแลสุนัขตั้งท้องก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ยิ่งในช่วงสัปดาห์แรกของการตั้งท้อง เจ้าของจำเป็นต้องดูแลพวกเค้าอย่างใกล้ชิด

 

โดยอาการเหล่านี้คืออาการที่บ่งบอกว่าสุนัขของคุณกำลังตั้งท้อง – 

 

สัญญาณบ่งบอกการตั้งท้องของสุนัข

ทำกิจกรรมน้อยลง

น้องหมาตั้งท้องมักจะเหนื่อยง่ายและนอนหลับมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในน้องหมาที่ชอบพักผ่อนมากกว่าทำกิจกรรม ในกรณีนี้ให้สังเกตเวลาพวกเค้าเดินว่าเหนื่อยง่ายหรือเหนื่อยเร็วกว่าปกติหรือไม่แทน

 

แสดงพฤติกรรมแปลก ๆ 

พฤติกรรมบางอย่างของน้องหมาตั้งท้องอาจเปลี่ยนแปลงไป เช่น ต้องการความสนใจจากเจ้าของมากขึ้น อยากอยู่ด้วย เข้าหาบ่อยขึ้น แต่บางครั้งพวกเค้าก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัว หากถูกรบกวนก็อาจแสดงท่าทางไม่พอใจหรือหงุดหงิดใส่ได้

 

การกินอาหารผิดปกติ

การกินอาหารผิดปกติเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้ในสุนัขตั้งท้อง โดยแม่สุนัขบางตัวอาจกินอาหารน้อยลง มีอาการอาเจียนเป็นครั้งคราวในช่วงแรกหรือในช่วงระหว่างการตั้งท้อง แต่บางตัวก็อาจกินอาหารมากกว่าปกติ และไม่พอใจกับมื้ออาหารทั่วไป ความผิดปกติเหล่านี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

 

น้ำหนักเพิ่มขึ้นและหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการตั้งท้องของสุนัขคือหน้าท้องขยายใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามการขยายตัวของหน้าท้องไม่ได้เกิดขึ้นในทันที แต่จะเริ่มสังเกตเห็นได้ในช่วงปลายของการตั้งท้องแล้ว หากพบว่าหน้าท้องของพวกเค้าใหญ่ขึ้น แนะนำให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที

 

การดูแลโภชนาการสำหรับแม่สุนัขตั้งท้อง

น้องหมาตั้งท้องจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเวลาให้อาหาร

ความต้องการพลังงานของน้องหมาตั้งท้องจะสูงขึ้นตามน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น สัตวแพทย์อาจแนะนำสูตรอาหารที่ให้พลังงานสูง รวมถึงมีไขมัน คาร์โบไฮเดรต และโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากสูตรอาหารที่ต้องเลือกอย่างดีแล้ว การกำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน หากให้ปริมาณมากไปก็อาจทำให้แม่สุนัขมีน้ำหนักเกินได้

ระยะเวลาตั้งท้องของสุนัขอยู่ที่ประมาณ 9 สัปดาห์ ในช่วงสัปดาห์ที่ 6 และ 7 ควรดูแลสุนัขตั้งท้องให้ได้รับปริมาณอาหารที่ไม่มากจนเกินไป และควรเปลี่ยนมาให้อาหารสูตรลูกสุนัข เนื่องจากมีพลังงานและสารอาหารมากกว่าสูตรทั่วไป ช่วยให้แม่สุนัขแข็งแรง ได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และพร้อมสำหรับการให้นมลูกตัวน้อย เมื่อเริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่ 9 แม่สุนัขจะอยากอาหารน้อยลง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าพวกเค้าใกล้คลอดเจ้าตัวน้อยออกมาแล้ว

สำหรับแม่สุนัขที่อยู่ในช่วงตั้งท้องและช่วงให้นมลูก การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับสภาพร่างกายเท่านั้น แต่การใช้ชีวิตและความต้องการทางโภชนาการของพวกเค้าก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย การดูแลสุนัขตั้งท้องอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

พัฒนาการรายสัปดาห์ของแม่สุนัขตั้งท้อง

 

 

สัปดาห์ที่ 1 และ 2

  • มีการผสมพันธุ์
  • เกิดการปฏิสนธิ
  • ไข่เข้าสู่ระยะฝังตัว
 

สัปดาห์ที่ 3 และ 4

  • เอ็มบริโอเริ่มพัฒนา
  • มีการเจริญของไขสันหลัง
  • ตัวอ่อนหรือฟีตัสเติบโตขึ้น เริ่มสังเกตเห็นใบหน้า

สัปดาห์ที่ 5 และ 6

  • เข้าสู่ขบวนการสร้างอวัยวะ
  • มีพัฒนาการของแขนขา ดวงตา และอวัยวะอื่น ๆ

สัปดาห์ที่ 7 และ 8

  • การเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกสุนัขเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  • เริ่มเคลื่อนตัวไปมาในช่องท้อง

สัปดาห์ที่ 9

  • การเจริญเติบโตและพัฒนาการสมบูรณ์
  • เข้าสู่ช่วงใกล้คลอด

 

แม่สุนัขจำเป็นต้องฉีดวัคซีนใดบ้าง?

 

ก่อนการตั้งท้องของสุนัข:

ก่อนการตั้งท้องของสุนัข เจ้าของควรวางแผน ประเมินสุขภาพร่างกาย และปรึกษาสัตวแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยเสียก่อน

ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้วัคซีนในสุนัขและแมว แนะนำให้ฉีดวัคซีนดังต่อไปนี้:วัคซีนป้องกันโรคไข้หัดสุนัข

วัคซีนป้องกันพาร์โวไวรัส

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ

วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (เรบีส์)

 

ระหว่างการตั้งท้อง:

หากได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนตั้งแต่ก่อนตั้งท้องแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเพิ่มเติมอีก ซึ่งสัตวแพทย์เองก็ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนให้กับแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้อง

ความแตกต่างหลักระหว่างสุนัขพันธุ์ใหญ่และสุนัขพันธุ์เล็กในช่วงตั้งท้องคือความต้องการทางโภชนาการ โดยสุนัขพันธุ์เล็กต้องการพลังงานมากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ เพื่อบำรุงลูกตัวน้อยในท้องและเพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอต่อการเลี้ยงลูก ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 แม่หมาตั้งท้องอาจต้องกินอาหารมากขึ้นถึง 3 เท่า เพื่อให้การผลิตน้ำนมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้สมดุล ส่วนในช่วงใกล้คลอด แม่หมาต้องการสารอาหารและพลังงานมากกว่าน้องหมาทั่วไปถึง 15% - 25%

ทั้งนี้การเลือกสูตรอาหารให้แม่สุนัขตั้งท้องควรพิจารณาจากขนาดของสายพันธุ์ด้วย

 

ก่อนการตั้งท้อง: ควรวางแผนล่วงหน้า

หากคุณวางแผนจะเพิ่มจำนวนสมาชิกมะหมา ก่อนการผสมพันธุ์ควรประเมินสุขภาพร่างกายของว่าที่แม่สุนัขเป็นอันดับแรก เนื่องจากร่างกายของพวกเค้าจะมีความต้องการทางโภชนาการและการดูแลเปลี่ยนแปลงไป โดยสุนัขที่มีน้ำหนักไม่เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน มักมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ:

สุนัขที่มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์มักมีปัญหาในการกินอาหารได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายตัวเองและลูกน้อยในท้อง

สุนัขที่มีน้ำหนักเกินอาจประสบปัญหาคลอดยาก เนื่องจากลูกสุนัขมีขนาดตัวใหญ่เกินไป 

 

เจ้าของต้องมั่นใจว่าแม่สุนัขได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลในปริมาณที่เหมาะสม สิ่งนี้จะช่วยให้ว่าที่แม่สุนัขมีน้ำหนักตัวเหมาะสมและมีร่างกายแข็งแรงพร้อมผสมพันธุ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้การตั้งท้องไปจนถึงการคลอดและให้นมลูกเป็นไปอย่างราบรื่น

 

ช่วงตั้งท้อง: ควบคุมน้ำหนักให้สมดุล

ระยะเวลาตั้งท้องของสุนัขคือเก้าสัปดาห์ ในช่วงแรกสุนัขตั้งท้องจะมีน้ำหนักเพิ่มเพียงเล็กน้อย จนเมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่หก น้ำหนักจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว และหลักจากนั้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

 

สุนัขตั้งท้องจะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้น โดยจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ความต้องการจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าสู่การตั้งท้องในสัปดาห์ที่ 6 โดยแม่สุนัขจะกินอาหารมากกว่าปกติประมาณ 25% - 50% ในช่วงใกล้คลอด

 

อาหารที่ดีที่สุดสำหรับแม่สุนัขที่กำลังตั้งท้องและต้องให้นมลูกคือ อาหารคุณภาพดี โภชนาการครบถ้วน และเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตในทุกช่วงวัย แม้ว่าโดยทั่วไปจะแนะนำให้กินอาหารสูตรลูกสุนัข แต่อาหารสูตรสำหรับลูกสุนัขพันธุ์ใหญ่อาจไม่ค่อยเหมาะสม เนื่องจากร่างกายของแม่สุนัขมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ต้องการพลังงานและแร่ธาตุแตกต่างจากช่วงปกติ

 

อาหารชนิดไหนที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างการดูแลสุนัขตั้งท้อง?

ควรหลีกเลี่ยงอาหารดิบหรืออาหารที่ไม่ปรุงสุก สามารถให้อาหารสูตรสำหรับสุนัขตั้งท้องหรือสูตรสำหรับลูกสุนัขตามการแนะนำของสัตวแพทย์ โดยไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมหรือวิตามินเพิ่มเติม

อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับแม่หมาตั้งท้องคือการให้อาหารสุนัขไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรแม่และลูกสุนัข เพราะมีส่วนช่วยในการเพิ่มน้ำนม เสริมสร้างพัฒนาการของลูกสุนัขตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ และยังมีสารอาหารสำคัญอย่างดีเอชเอที่ช่วยในการทำงานของระบบสมองให้ลูกสุนัขมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้นด้วย

 

ช่วงให้นมลูก: ดูแลให้แม่สุนัขได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

แม้ว่าหลังคลอดแม่สุนัขจะมีน้ำหนักตัวลดลงแล้ว แต่พวกเค้ายังคงต้องการสารอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งความต้องการนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนลูกสุนัขและการให้นม โดยแม่สุนัขอาจต้องการอาหารมากกว่าปกติ 2 - 3 เท่า เพื่อให้มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกตัวน้อย นอกจากนี้ควรเช็กให้แน่ใจว่าแม่สุนัขได้รับน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพราะมันมีส่วนช่วยในการผลิตน้ำนมด้วยเช่นกัน

 

เพื่อให้แม่สุนัขที่อยู่ในช่วงให้นมลูกได้รับสารอาหารที่เพียงพอ คุณสามารถลองใช้เทคนิคเหล่านี้ได้:

<ul><li> เลือกให้อาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน เช่น อาหารสูตรสำหรับลูกสุนัข

<ul><li> หลีกเลี่ยงการเพิ่มปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ แต่ให้เพิ่มจำนวนมื้ออาหารตลอดวันแทน

<ul><li> แนะนำให้เทอาหารเม็ดทิ้งไว้ เพื่อให้แม่สุนัขเข้าถึงได้ตลอดทั้งวัน

 

ช่วงหย่านม: เปลี่ยนไปให้อาหารสูตรเดิมก่อนการตั้งท้อง

ในช่วง 4 - 5 สัปดาห์หลังคลอด ลูกสุนัขจะเริ่มให้ความสนใจในอาหารของแม่ เจ้าตัวน้อยจะกินอาหารอื่นมากขึ้นและดูดนมน้อยลง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขจะหย่านมเมื่ออายุประมาณ 7 - 8 สัปดาห์ ในเวลานี้ร่างกายของแม่สุนัขจะเปลี่ยนไปมีความต้องการพลังงานในระดับปกติ จึงกลับไปกินอาหารสูตรเดิมก่อนการตั้งท้องหรือสูตรทั่วไปได้แล้ว



dog

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลสุนัขตั้งท้องและสุนัขให้นมลูก

 

สุนัขตั้งท้องควรกินอาหารแบบใด?

สุนัขตั้งท้องควรเปลี่ยนมากินอาหารที่ให้พลังงานสูง (ควรเปลี่ยนหลังตั้งท้องได้หนึ่งเดือน) อาหารควรมีปริมาณโปรตีน 22% และปริมาณแคลอรี่ที่ย่อยได้ประมาณ 1600 กิโลแคลอรี

 

สามารถให้อาหารแม่สุนัขระหว่างคลอดได้หรือไม่?

สุนัขที่อยู่ในระหว่างการคลอดลูก มักจะไม่ยอมกินอาหาร เนื่องจากกระบวนการคลอด ทำให้เหนื่อย อ่อนเพลีย ท้องไส้ปั่นป่วน มีอาการอาเจียน และรู้สึกไม่สบายตัว หากให้แม่สุนัขกินอาหารทันทีหลังคลอด พวกเค้าอาจมีอาการอาเจียนได้

 

หากไม่ได้อยู่ในช่วงติดสัด สุนัขสามารถตั้งท้องได้หรือไม่?

สุนัขจะมีโอกาสตั้งท้องสูงเมื่อได้รับการผสมพันธุ์ในช่วงติดสัด ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละครั้งหรือสองครั้งขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สุนัขจะเข้าสู่ช่วงติดสัดเมื่อมีอายุประมาณ 6 เดือน โดยช่วงนี้จะกินเวลาประมาณ 3 สัปดาห์

 

แม่สุนัขจะมีอาการคิดถึงลูกหรือไม่?

แม่สุนัขก็อาจมีการคิดถึงลูกตัวน้อยได้ ดังนั้นควรวางแผนการแยกลูกสุนัขจากแม่ให้เรียบร้อยก่อนเริ่มผสมพันธุ์

 

สุนัขสามารถตั้งท้องในขณะที่ให้นมลูกได้หรือไม่?

หลังจากคลอดลูกแล้ว สุนัขสามารถตั้งท้องได้อีกแต่ก็จะขึ้นอยู่กับช่วงติดสัดด้วย ทางที่ดีจึงควรแยกสุนัขตัวผู้ออกห่างจากแม่สุนัขก่อน เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์โดยไม่ตั้งใจ

  • 5 วิธีดูแลผิวหนังและขนให้สุนัข
    5 วิธีดูแลผิวหนังและขนให้สุนัข
    adp_description_block326
    5 วิธีดูแลผิวหนังและขนให้สุนัข

    • แบ่งปัน

    รู้ไหมว่าผิวหนังและเส้นขนบ่งบอกสุขภาพโดยรวมของสุนัขได้นะ ขนสุขภาพดีควรมีความมันเงาและเรียบเนียน ไม่หยาบหรือขาดง่าย ส่วนผิวหนังสุนัขที่แข็งแรงควรนุ่มและยืดหยุ่น ไม่มันเยิ้มหรือเป็นขุย โภชนาการที่ดีเป็นปัจจัยหลักในการรักษาสุขภาพผิวหนังและขน ควบคู่ไปกับการดูแลทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อลดอาการระคายเคืองและขนพันกัน

     

    การดูแลสุขภาพผิวและขนของน้องหมาให้แข็งแรงไม่ใช่เรื่องยาก เรามาเรียนรู้เทคนิคดี ๆ ในการดูแลรักษา และทำความรู้จักอาหารบำรุงขนสุนัขไปด้วยกัน
     

    สารอาหารช่วยเสริมสุขภาพผิวหนังและขนของสุนัขได้อย่างไร?

    เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพผิวหนังและขน สิ่งแรกที่ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่นึกถึงคือการกรูมมิ่งหรือการดูแลทำความสะอาด แต่มันไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว โภชนาการก็มีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพผิวหนังและขนของสุนัขเช่นกัน 
     

    หากดูแลทำความสะอาดเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง อาจเป็นไปได้ว่ามีปัญหาจากภายใน ผิวที่แข็งแรงและขนที่สวยเงางามเริ่มต้นจากสุขภาพภายในร่างกาย หากน้องหมามีผิวแห้ง ลอกเป็นขุย มีรอยนูน รอยแผล หรือหมองคล้ำ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แนะนำให้พาไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและปัญหาที่ซ่อนอยู่
     

    ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายของสุนัข ผิวหนังส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยขนที่เติบโตและหลุดร่วงอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่เราต้องการอาหารคุณภาพดีเพื่อรักษาผิวหนังและเส้นขนให้แข็งแรง น้องหมาก็ควรได้รับแคลอรีในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวันเพื่อรักษาระดับพลังงาน หากกินอาหารที่มีคุณภาพต่ำ ร่างกายจะใช้เวลาในการกำจัดของเสียนานขึ้น ทำให้ไตและตับทำงานหนักขึ้นสองเท่า
     

    อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น โภชนาการเป็นกุญแจสำคัญในการมีสุขภาพผิวหนังและขนที่ดี น้องหมาที่ได้รับสารอาหารตรงตามความต้องการทุกวันจะมีผิวที่แข็งแรง อ่อนนุ่ม และมีขนสวยเงางามเป็นประกาย 
     

    เคล็ดลับดูแลผิวและขนของสุนัขให้แข็งแรง

    พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกว่านี่เป็นหนึ่งในงานที่ยากที่สุด ในความเป็นจริง การบรรลุเป้าหมายนั้นค่อนข้างง่าย เพียงแค่ทำตามคำแนะนำเหล่านี้

    • โภชนาการที่เหมาะสม

    วิธีง่าย ๆ เลยคือการให้อาหารสุนัขบำรุงขนและผิวหนัง สุนัขจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและสมดุลเพื่อให้ผิวแข็งแรงและขนเงางาม อาหารที่ดีสำหรับผิวหนังสุนัขควรอุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แร่ธาตุ และวิตามินในปริมาณที่เหมาะสม แคลอรีในแต่ละวันก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพื่อให้สุนัขมีพลังงานเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นขนและการผลัดเซลล์ผิว หากอาหารสุนัขย่อยง่ายหรือมีส่วนผสมคุณภาพต่ำ น้องหมาอาจได้รับพลังงานไม่เพียงพอ แนะนำให้เลือกอาหารสุนัขที่ส่วนผสมคุณภาพสูง และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพ 

    • อาหารเสริม

    นอกจากอาหารสุนัขบำรุงขนและผิวหนังแล้ว ปัจจุบันยังมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมากมายในท้องตลาด ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกสับสนว่าสารอาหารชนิดใดที่ช่วยรักษาสุขภาพผิวและเส้นขนให้แข็งแรง เราขอแนะนำให้มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เพราะได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าเป็นหนึ่งในอาหารบำรุงขนสุนัขที่ดีที่สุด ช่วยให้น้องหมามีขนสวยเงางามและผิวหนังเรียบเนียน กรดไขมันโอเมก้า 3 ไม่เพียงแต่เป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติอีกด้วย

    • อาบน้ำเป็นประจำ

    การอาบน้ำเป็นการดูแลที่สำคัญ เนื่องจากช่วยกำจัดฝุ่น เศษสิ่งสกปรก รวมถึงสารก่อภูมิแพ้ออกจากผิวหนังและขน โดยแนะนำให้อาบน้ำน้องหมาทุก ๆ 2 – 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของสายพันธุ์ หรือทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำมากเกินไปเพราะอาจส่งผลให้ผิวและขนแห้ง หากน้องหมามีอาการแพ้หรือไม่ตอบสนองต่อแชมพูสำหรับสุนัข ควรปรึกษาสัตวแพทย์และค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับน้องหมาของคุณ

    • ป้องกันโรคภูมิแพ้และการติดเชื้อปรสิต

    น้องหมาที่เป็นโรคภูมิแพ้มักจะมีผิวหนังอักเสบ ทำให้เกิดรอยแดงและอาการคัน เมื่อน้องหมาเกาตัวอย่างต่อเนื่องและรุนแรง เกราะป้องกันผิวหนังของพวกเค้าจะอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย น่าเสียดายที่โรคภูมิแพ้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้และทำได้เพียงรักษาเท่านั้น การเรียนรู้วิธีจัดการกับอาการแพ้จากสัตวแพทย์จึงเป็นสิ่งสำคัญ
     

    เห็บหมัดเป็นปรสิตที่พบบ่อยที่สุดในสุนัข มันเป็นตัวก่อให้เกิดอาการระคายเคือง อาการคัน และความไม่สบายตัว ทำให้น้องหมาเกา ข่วน และกัดผิวหนังของตัวเองอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้ชั้นผิวหนังฉีกขาด ผิวแห้ง ระคายเคือง และบวมแดง นอกจากนี้เห็บหมัดยังเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพที่เป็นอันตรายถึงชีวิตด้วย ทางที่ดีควรป้องกันเห็บหมัดอย่างถูกวิธีและทำเป็นประจำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์

    • การดูแลสุขภาพโดยรวม

    การดูแลสุขภาพโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพผิวและขนที่ดี น้องหมาควรได้รับโภชนาการที่ครบถ้วนและสมดุลนั่นเอง รวมถึงต้องพักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอด้วย เมื่อทำตามขั้นตอนเหล่านี้แล้ว รับรองเลยว่าน้องหมาของคุณจะมีผิวแข็งแรงและขนสวยเปล่งประกาย
     

    พ่อแม่น้องหมาทุกคนควรให้ความสำคัญกับอาหารที่ดีสำหรับผิวหนังสุนัข รวมถึงทำความเข้าใจว่าสารอาหารชนิดใดที่ช่วยรักษาสุขภาพผิวและเส้นขนให้แข็งแรง เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าตัวน้อยจะมีสุขภาพผิวและขนที่ดี

Close modal