IAMS TH
Why Nutrition in Cat Food Is Key for Shiny Coat
Why Nutrition in Cat Food Is Key for Shiny Coat

adp_description_block288
คู่มือการดูแลขนแมวให้สวยเงางาม

  • แบ่งปัน

เมื่อได้ยินคำว่า “แมวเหมียว” คุณคิดถึงสิ่งใดเป็นอย่างแรก? หลายคนคงคิดถึงขนสวยเงางามของพวกเค้า ซึ่งไม่ได้มีดีแค่ความสวยเท่านั้นนะ แต่ยังมีเนื้อนุ่มละเอียดคล้ายผ้าไหมคุณภาพดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เส้นขนของพวกเค้ามีสุขภาพดี ผู้เลี้ยงจำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่อย่างเหมาะสม ว่าแล้วก็มาเรียนรู้เทคนิคการดูแลและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพเส้นขนของพวกเค้าไปด้วยกันในบทความนี้
 

สาเหตุใดบ้างที่ทำให้ขนของแมวไม่สวยเงางาม?

หากแมวของคุณมีขนหยาบกระด้าง อย่าเพิ่งเร่งหาวิธีแก้ไข ให้ลองทำความเข้าใจต้นตอของปัญหากันก่อน โดยสาเหตุที่ทำให้ขนแมวสูญเสียความเงางาม มีดังนี้

  1. โภชนาการที่ไม่ได้คุณภาพ

นอกเหนือจากการกรูมมิ่งเป็นประจำแล้ว โภชนาการก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการมีขนสวยเงางาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเลือกอาหารแมวที่อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม

  1. อาบน้ำบ่อยเกินไป

ขนแมวอาจแห้งและหยาบกระด้างเมื่ออาบน้ำบ่อยเกินไป นั่นเป็นเพราะน้ำมันที่เคลือบอยู่บนผิวหนังถูกทำลายระหว่างการอาบน้ำ ซึ่งน้ำมันเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ขนของแมวเงางาม

  1. อายุหรือช่วงวัย

เราไม่จำเป็นต้องกรูมมิ่งให้เจ้าเหมียวบ่อย เนื่องจากพวกเค้ามักจะดูแลทำความสะอาดตัวเองเป็นประจำ แต่เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นหรือมีน้ำหนักตัวมากเกินไป ความยืดหยุ่นของร่างกายก็จะลดน้อยลง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดูแลขนของแมว ในกรณีนี้ ผู้เลี้ยงอาจต้องให้ความช่วยเหลือและอาจต้องวางแผนการลดน้ำหนักอย่างเหมาะสมร่วมกับสัตวแพทย์เพิ่มเติม

  1. ปัญหาด้านสุขภาพ

สาเหตุสุดท้ายที่อาจเป็นได้คือปัญหาสุขภาพ ขนแมวอาจสูญเสียความเงางามจากปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน ปรสิต การติดเชื้อ และอาการแพ้ หากคุณพบว่าน้องแมวมีอาการผิดปกติหรือแสดงสัญญาณของการเจ็บป่วย ให้ปรึกษาสัตวแพทย์ทันที

ทำอย่างไรให้ขนแมวกลับมาสวยเงางามอีกครั้ง?

เมื่อรู้ถึงสาเหตุของปัญหากันแล้ว ก็ถึงเวลาแก้ไขเพื่อให้ขนแมวกลับมาเงางามได้อีกครั้ง โดยเคล็ดลับง่าย ๆ ในการดูแลขนแมว มีดังนี้

  • แปรงขนเป็นประจำ – การแปรงขนจะช่วยกำจัดเส้นขนที่ตายแล้วออกไป รวมถึงกระตุ้นให้ผิวหนังขับน้ำมันและกระจายไปยังเส้นขน ทำให้ขนแมวของคุณเงางาม
  • เลือกใช้แชมพูที่เหมาะสม – แชมพูถือเป็นสิ่งสำคัญ หากเลือกใช้แชมพูผิดชนิด อาจทำให้น้ำมันตามธรรมชาติบนผิวหนังของแมวถูกกำจัดออกไป ส่งผลให้เส้นขนเสียหายได้
  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำมากเกินไป – การอาบน้ำบ่อยอาจทำให้ผิวแห้งและลอกเป็นขุยได้
  • เลือกโภชนาการที่เหมาะสม – เส้นขนของแมวมีโปรตีนมากถึง 90% การให้อาหารที่อุดมด้วยโปรตีนจึงมีความสำคัญต่อการดูแลขนให้เงางาม

โภชนาการมีความสำคัญต่อผิวหนังและขนของแมวอย่างไร?

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดบนร่างกายแมว มันถูกปกคลุมด้วยเส้นขนจำนวนมาก แมวจะผลัดขนและสร้างเส้นขนใหม่หลายครั้งตลอดทั้งชีวิต อย่างไรก็ตาม หากได้รับอาหารคุณภาพไม่ดี มีสารอาหารไม่ครบถ้วน กระบวนการสร้างเส้นขนใหม่ก็อาจช้าลงได้ และอาจทำให้เกิดปัญหาขนร่วงเป็นหย่อม ๆ อีกด้วย แนะนำให้เลือกอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง มาพร้อมวิตามิน แร่ธาตุ ไขมันดี และสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เพื่อเร่งกระบวนการเจริญเติบโตของเส้น ช่วยให้ขนเงางาม และเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
 

ไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ อาหารแมวชนิดเม็ด สูตรเลี้ยงในบ้านและบำรุงขน อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ช่วยให้ขนของแมวเงางามและมีสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ จึงช่วยเสริมสุขภาพโดยรวมของน้องแมวที่คุณรักได้เป็นอย่างดี

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลขนแมว

  1. สาเหตุใดบ้างที่ทำให้ขนแมวไม่สวยเงางาม?
  2. ขนแมวสูญเสียความเงางามได้จากหลายปัจจัย โดยสาเหตุทั่วไปที่พบได้ มีดังนี้

    • กรูมมิ่งและอาบน้ำมากเกินไป
    • การเลือกโภชนาการที่ไม่เหมาะสม
    • การใช้แชมพูผิดชนิด
    • อายุที่เพิ่มมากขึ้นi
    • น้ำหนักตัวเพิ่มอย่างกะทันหัน
    • โรคเบาหวาน
    • โรคภูมิแพ้
    • การติดเชื้อ

  3. จะดูแลขนแมวให้กลับมามีสุขภาพดีได้อย่างไร?
  4. การดูแลขนแมวให้แข็งแรงและเงางามขึ้นอยู่กับสองปัจจัย ได้แก่ สุขอนามัยและโภชนาการ โดยแนะนำให้กรูมมิ่งพวกเค้าเป็นประจำหรือตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ และเลือกอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างเส้นขนใหม่ ทำให้เส้นขนแข็งแรงเงางาม ทั้งนี้ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรม โดยไม่ควรปล่อยแมวเลียตัวทำความสะอาดบ่อยเกินไป

  5. เราสามารถทาน้ำมันบนขนแมวได้หรือไม่?
  6. แม้ว่าการทาน้ำมันบนขนแมวอาจไม่เป็นอันตราย แต่แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนลงมือทำ

  7. อาหารอะไรบ้างที่ช่วยเสริมสุขภาพเส้นขนของแมว?
  8. ขนเป็นตัวบ่งบอกสุขภาพโดยรวมของแมว หากพวกเค้าได้รับการบำรุงและมีสุขภาพดีจากภายใน มันจะสะท้อนออกมาทางผิวหนังและขน ดังนั้นควรเลือกอาหารที่มีคุณภาพดี อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่เหมาะสม

  • รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนสำหรับแมว
    รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวัคซีนสำหรับแมว
    adp_description_block231
    รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนแมว

    • แบ่งปัน

    แมวเลี้ยงง่าย อยู่ง่าย ไม่ต้องเอาใจใส่อะไรมากมาย ชุดความเชื่อเหล่านี้ไม่เป็นความจริง! แม้จะพึ่งพาตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่แมวเหมียวยังคงต้องการการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร การรักษาพยาบาล และการดูแลป้องกัน โดยแมวทุกตัวควรได้รับการฉีดวัคซีนที่จำเป็น เช่น วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและวัคซีน FVRCP เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสติดเชื้อร้ายแรง และลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
     

    วัคซีนถูกพัฒนามาเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายและป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง การฉีดวัคซีนให้แมวมักจะพิจารณาจากอายุ สุขภาพโดยรวม การใช้ชีวิต และสายพันธุ์ โดยวัคซีนสำหรับแมวแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ วัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก วัคซีนหลักจำเป็นสำหรับแมวทุกตัว ส่วนวัคซีนทางเลือกจะฉีดให้กับแมวหลังจากพิจารณาสถานการณ์บางอย่างแล้ว
     

    วัคซีนแต่ละชนิดและช่วงวัยที่เหมาะสมของแมว

    การฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยปกป้องแมวจากการตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายแรงได้ โดยวัคซีนสำคัญที่ลูกแมวทุกตัวควรได้รับมีดังนี้

    1. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า

    วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าต้องฉีดเป็นประจำทุกปีหรือทุก ๆ 3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทของวัคซีนที่คุณเลือก เพื่อปกป้องลูกแมวตัวน้อยจากไวรัสเรบีส์ที่อันตราย เชื้อชนิดนี้ไม่ได้พบแค่ในหมาแมวเท่านั้น แต่พบได้ในคนด้วย โดยแพร่กระจายผ่านการกัดหรือข่วนจากสัตว์ที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการก้าวร้าว สับสน และมีอาการกลัวน้ำหลังผ่านระยะฟักตัว โรคพิษสุนัขบ้าส่งผลร้ายแรงต่อทั้งสัตว์และมนุษย์ ไม่มียารักษา อัตราเสียชีวิตก็สูง การฉีดวัคซีนป้องกันจึงจำเป็นมาก

    1. วัคซีน FVRCP

    ต่อกันด้วยวัคซีนรวมที่ช่วยป้องกันแมวจากไวรัสสามชนิด ได้แก่ ไวรัสไข้หัดแมว รวมถึงเชื้อ Feline Virus Rhinotracheitis (FVR) และ Feline Calicivirus (FCV) ซึ่งก่อให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดในแมว ทั้งนี้แนะนำให้ฉีดวัคซีน FVRCP เป็นประจำทุกปี

    1. วัคซีน FeLV

    วัคซีน FeLV เป็นวัคซีนป้องกันไวรัสมะเร็งเม็ดเลือดขาว ไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำลาย ปัสสาวะ และอุจจาระ โดยแมวอาจติดเชื้อขณะเลียขนหรือจากการใช้ชามอาหารชามน้ำร่วมกับแมวที่ติดเชื้อ ไวรัสร้ายแรงนี้อาจนำไปสู่โรคต่าง ๆ เช่น โรคโลหิตจาง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง จึงควรฉีดวัคซีน FeLV ให้แมวตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ วัคซีนนี้ประกอบด้วย 2 โดส โดยเว้นระยะห่างกัน 3 – 4 สัปดาห์สำหรับลูกแมว และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อแมวอายุอย่างน้อย 16 สัปดาห์

    1. วัคซีน FPV

    วัคซีน FPV จะช่วยปกป้องแมวจากโรคไข้หัดแมว โดยลูกแมวควรได้รับการฉีดวัคซีน FPV เมื่อมีอายุ 6 – 8 สัปดาห์ และฉีดทุก ๆ 3 – 4 สัปดาห์จนกระทั่งอายุ 16 สัปดาห์ หลังจากนั้นให้ฉีดกระตุ้นในช่วงอายุ 1 – 2 ปี

    1. วัคซีนรวม 4 โรค

    วัคซีน F4 หรือ FVRCCP พัฒนาขึ้นเพื่อต่อสู้กับโรคหวัดแมว การติดเชื้อไวรัสคาลิไซในแมว โรคไข้หัดแมว และโรคติดเชื้อคลาไมเดียในแมวซึ่งส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนของแมว อีกทั้งยังเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่ตาในระยะเริ่มแรกด้วย ลูกแมวควรได้รับวัคซีนชนิดนี้เมื่อมีอายุ 8, 12 และ 16 สัปดาห์ จากนั้นฉีดกระตุ้นซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุครบ 1 ปี และฉีดใหม่ทุก ๆ 3 ปี

    1. วัคซีนรวม 5 โรค

    วัคซีน F5 หรือ Fevac 5 เป็นวัคซีนรวมที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของลูกแมวเพื่อรับมือกับไวรัส 5 ชนิด การฉีดวัคซีนชนิดนี้จะช่วยให้ลูกแมวตัวน้อยปลอดภัยจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ
     

    ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน

    หลังจากได้รับวัคซีนแล้ว ลูกแมวของคุณอาจรู้สึกไม่สบายตัวและแสดงอาการผิดปกติเล็กน้อย เนื่องจากร่างกายกำลังสร้างกลไกป้องกันเพื่อกำจัดไวรัสร้ายแรง โดยผลข้างเคียงที่พบได้จากการฉีดวัคซีนมีดังนี้

    1. อ่อนเพลีย เซื่องซึม

    2. อยากอาหารลดลง

    3. อาเจียน

    4. มีไข้ 

    5. ท้องเสีย

    6. มีอาการบวมหรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด

    การฉีดวัคซีนป้องกันถือเป็นหนึ่งในการดูแลที่สำคัญ มันช่วยให้แมวมีสุขภาพแข็งแรง มีพลัง และกระฉับกระเฉง ขอแนะนำให้พ่อแม่แมวทุกคนวางแผนตารางการฉีดวัคซีนอย่างเหมาะสม โดยสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพิ่มเติมได้