IAMS TH
Feeding Guidelines for Your Cat
Feeding Guidelines for Your Cat

adp_description_block76
คู่มือการให้อาหารแมวฉบับมือโปร

  • แบ่งปัน

โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมว เจ้าตัวน้อยเหล่านี้ต้องการอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ สำหรับปริมาณอาหารที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ น้ำหนัก ระดับกิจกรรม และสุขภาพโดยรวม
 

สิ่งที่ต้องใส่ใจในการให้อาหารแมวคือการกำหนดปริมาณและการเลือกอาหารที่เหมาะสม อย่าให้อาหารมากเกินไป เพราะอาจนำไปสู่โรคอ้วนซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย หรือคุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดแนวทางการให้อาหารและจัดการกับความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียวที่คุณรักก็ได้

 

วิธีการให้อาหารแมว

จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราให้อาหารเจ้าเหมียวในเวลาที่เหมาะสมและในปริมาณที่เพียงพอ หากคุณสงสัยว่าควรเลือกอาหารแมวอย่างไร ต้องให้อาหารวันละกี่มื้อ แล้วสามารถให้อาหารเสริมหรือขนมกับแมวได้หรือไม่ มาค้นหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้
 

แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ พวกเค้าไม่ต้องการอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในทางกลับกัน แมวต้องการสารอาหารที่อยู่เนื้อสัตว์อย่างน้อย 70% เพื่อความอยู่รอดและมีสุขภาพที่ดี ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ

 

ควรวางแผนการให้อาหารแมวอย่างไร?

แนะนำให้แบ่งอาหารเป็นสองมื้อต่อวัน โดยเว้นระยะห่างกันไม่เกิน 12 ชั่วโมง หรือจะแบ่งออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อก็ได้ เช่น มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารมีแคลอรีและสารอาหารที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรามีพฤติกรรมการกินอย่างไร?

เมื่อเจ้าเหมียวคุ้นเคยกับการกินอาหารเป็นเวลา พวกเค้าจะค่อย ๆ แสดงพฤติกรรมการกินเฉพาะตัวออกมาให้เห็น เช่น เล่นกับอาหารก่อนกิน ชอบกินอาหารเพียงลำพัง หรือแอบเก็บอาหารเอาไว้ นิสัยเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย คุณไม่จำเป็นต้องกังวล แต่สำหรับพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง ได้แก่

  1. กินอาหารไม่หมด ทั้งที่ให้ในปริมาณปกติ

  2. น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

  3. ไม่ยอมกินอาหารนานเกิน 24 ชั่วโมง

หากแมวเหมียวของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับ

การกำหนดปริมาณอาหารต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการทางโภชนาการเฉพาะของแมว

 

อายุหรือช่วงวัย

ความต้องการทางโภชนาการของแมวจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย ลูกแมวในช่วงเดือนแรก ๆ จะเติบโตและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กเหล่านี้จึงต้องการอาหารที่อุดมไปด้วยพลังงาน โปรตีน และสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ในขณะที่แมวสูงวัยมักจะทำกิจกรรมน้อยลง อัตราการเผาผลาญก็ลดลง พวกเค้าจึงต้องการอาหารที่มีพลังงานเหมาะสมเพื่อควบคุมน้ำหนักและบำรุงข้อต่อ การปรับสูตรอาหารให้เหมาะกับวัยถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสุขภาพที่ดีและยืดอายุของแมวให้อยู่ได้นานมากขึ้น

 

ขนาดตัว

ขนาดตัวของแมวเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการกำหนดปริมาณแคลอรี แมวตัวใหญ่มักจะต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อรักษาระดับพลังงานและใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับร่างกาย ในทางกลับกัน แมวพันธุ์เล็กต้องการอาหารน้อยกว่าและต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน การเลือกสูตรอาหารที่เหมาะกับขนาดตัวจะทำให้แมวได้รับอาหารที่ตอบสนองความต้องการอย่างเพียงพอ

 

ระดับกิจกรรม

แมวที่มีความแอคทีฟสูง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง มักจะใช้พลังงานจำนวนมากและอาจต้องการพลังงานเพิ่มเติม ส่วนแมวที่ขยับตัวน้อยหรืออยู่แต่ในบ้านจำเป็นต้องได้รับการควบคุมอาหารอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักตัวเกินและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
 

เลี้ยงในบ้านและเลี้ยงนอกบ้าน

สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้กำหนดปริมาณอาหาร ไม่ว่าเลี้ยงในบ้านหรือนอกบ้านก็ส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานของเจ้าเหมียว แมวที่ถูกเลี้ยงนอกบ้านมักจะทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ต้องการปริมาณแคลอรีสูงเพื่อเติมพลังในการผจญภัย ส่วนแมวที่เลี้ยงในบ้านจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโรคอ้วน

 

สภาพร่างกาย

สภาพร่างกายเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมและน้ำหนักตัว สำหรับแมวที่มีน้ำหนักเกิน ควรเลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หรือหากแมวของคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว อาจต้องเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ รวมถึงอาจต้องเปลี่ยนวิธีการให้อาหารและหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดด้วย

 

ภาวะสุขภาพ

แมวที่มีปัญหาสุขภาพต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารมากเป็นพิเศษ เช่น แมวที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนแมวที่เป็นโรคไตอาจต้องกินอาหารสูตรพิเศษที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของไต และแมวที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจต้องเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ ขอแนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับการเลือกสูตรอาหารที่สอดคล้องกับความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าเหมียว

 

ควรให้อาหารแมววันละกี่ครั้ง?

ความถี่ในการให้อาหารจะพิจารณาจากอายุของแมว โดยคุณสามารถทำตามตารางแนะนำด้านล่างนี้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเหมียวจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสมในทุกช่วงวัย

 

Age

Schedule

1 สัปดาห์

ทุก ๆ 2 ชั่วโมง

1 – 2 สัปดาห์

ทุก 2 – 3 ชั่วโมง

2 – 3 สัปดาห์

ทุก 3 – 4 ชั่วโมง

3 – 4 สัปดาห์

ทุก 4 – 5 ชั่วโมง

4 – 5 สัปดาห์

ทุก 5 – 6 ชั่วโมง

5 – 8 สัปดาห์

ทุก ๆ 6 ชั่วโมง

8 – 16 สัปดาห์

ทุก 6 – 8 ชั่วโมง

4 – 5 เดือน

ทุก ๆ 8 ชั่วโมง

6 เดือนขึ้นไป

ทุก 8 – 12 ชั่วโมง

 

ควรให้อาหารแมวมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?

การกำหนดปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับอายุ ขนาด และระดับกิจกรรมของแมว หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือทำตามคำแนะนำที่ระบุบนผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอแอมส์™ ช่วงแรกอาจเริ่มให้อาหารในปริมาณที่แนะนำไปก่อน จากนั้นค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของเจ้าเหมียว และควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อต่อวัน

 

วิธีการเปลี่ยนอาหารให้แมว ทำอย่างไร?

สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้แมวคือต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นด้วยการให้อาหารในอัตราส่วนอาหารใหม่ 25% ต่ออาหารเก่า 75% หลังจากสามวันผ่านไป ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารใหม่และลดปริมาณอาหารเก่าลง

 

วิธีการให้อาหารแมวแบบเปียกและแบบเม็ด

เมื่อเข้าใจหลักการในการให้อาหารตามอายุและปัจจัยอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับถัดมาคือชนิดของอาหาร ควรให้อาหารเปียกหรืออาหารเม็ดกันนะ? อาหารทั้งสองชนิดมีประโยชน์เฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของแมวในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน เรามาดูข้อดีของอาหารทั้งสองชนิดนี้ประกอบการตัดสินใจไปด้วยกัน

 

อาหารเปียก VS อาหารเม็ด

เรารู้ดีว่าการตัดสินใจเลือกอาหารแมวต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เราจึงรวบรวมคุณประโยชน์ของอาหารแต่ละชนิดมาฝากทุกคน

 

ประโยชน์ของอาหารเม็ด

  1. อาหารเม็ดให้ง่าย จัดเก็บง่าย มีอายุการเก็บรักษานานกว่าอาหารเปียก และเมื่อเปิดแล้วไม่ต้องแช่เย็น แต่ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด

  2. เนื้อสัมผัสกรุบกรอบของอาหารเม็ดมีส่วนช่วยให้สุขภาพเหงือกและฟันดีขึ้น โดยการเคี้ยวอาหารเม็ดจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและหินปูนได้

  3. อาหารเม็ดมักจะมีราคาถูกกว่าอาหารเปียก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

  4. อาหารเม็ดมักจะมีปริมาณแคลอรีสูงกว่าอาหารเปียก หมายความว่าแม้จะให้ในปริมาณน้อยก็ยังสามารถให้พลังงานที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน จึงเป็นประโยชน์สำหรับแมวที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

 

ประโยชน์ของอาหารเปียก

  1. อาหารเปียกมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี เหมาะสำหรับน้องแมวที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำหรือกินน้ำไม่เพียงพอ

  2. เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มและรสชาติที่หลากหลายของอาหารเปียกช่วยเพิ่มความอยากอาหาร นำมาดึงความสนใจจากเจ้าเหมียวช่างเลือกได้เป็นอย่างดี

  3. อาหารเปียกอุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่หลากหลาย ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของแมว

  4. อาหารเปียกเหมาะสำหรับแมวที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะด้านหรือแมวที่ต้องการอาหารพิเศษ เพราะสามารถให้ร่วมกับยาหรืออาหารเสริมได้

ตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความชอบ ความต้องการด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของเจ้าเหมียวแต่ละตัว พ่อแม่บางคนอาจเลือกให้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารเปียกเพื่อให้แมวได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและรสชาติที่น่าพึงพอใจ ปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณเพื่อปรับอาหารให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียว

 

จำเป็นต้องให้อาหารทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดหรือไม่?

แม้ว่าอาหารเปียกจะมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกมื้อ อาหารเม็ดของไอแอมส์™ ผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรือเนื้อปลา อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนตามที่แมวต้องการ
 

แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการให้อาหารหรือการเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสม คุณหมออาจประเมินโภชนาการของแมวเพื่อพิจารณาว่าแมวของคุณต้องการอาหารประเภทใด

 

หากต้องกินอาหารเดิม ๆ ตลอดเวลา แมวจะเบื่อหรือไม่?

ไม่ แมวมักจะพอใจกับการกินอาหารเพียงชนิดเดียว โดยทั่วไปแล้วแมวจะกินอาหารเพื่อให้ได้รับพลังงานหรือสารอาหารที่ต้องการ พวกเค้ามีระบบย่อยอาหารสั้นมากและหากเปลี่ยนอาหารอย่างกะทันหันหรือเปลี่ยนตลอดเวลา อาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้การเปลี่ยนอาหารบ่อย ๆ ยังทำให้แมวมีนิสัยเลือกกินอีกด้วย

 

สามารถผสมน้ำกับอาหารเม็ดได้หรือไม่?

การเติมน้ำในอาหารเม็ดไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการเปลี่ยนไป แต่ต้องรีบกินให้หมด ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้นานเพราะเสี่ยงต่อการเน่าเสีย อย่างไรก็ตาม อาหารเม็ดถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะให้ง่าย สะดวก และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบของอาหารเม็ดก็ช่วยขัดฟันได้ดีด้วย

 

แมวกินอาหารสุนัขได้หรือไม่?

แมวและสุนัขมีความต้องการทางโภชนาการที่แตกต่างกันและไม่ควรกินอาหารของกันและกัน การกินอาหารของกันและกันเป็นครั้งคราวอาจไม่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเป็นประจำ

 

เราสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันกับแมวได้หรือไม่?

หากน้องแมวของคุณต้องการสารอาหารเพิ่มเติม คุณสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดไปได้ แต่หากคุณเลือกให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมใด ๆ เพิ่ม เพราะอาหารคุณภาพดีเหล่านี้มีปริมาณสารอาหารที่สมดุล อยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องให้อะไรเพิ่มอีก

 

หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการของสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม ควรทำอย่างไร?

คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงและโภชนาการของไอแอมส์ได้ที่เว็บไซต์ https://th.iams.asia/contact-us

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการให้อาหารแมว

  1. แมวควรกินอาหารมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?
  2. ปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาด อายุ และระดับกิจกรรม โดยทั่วไปแมวโตเต็มวัยต้องการพลังงานประมาณ 200 – 300 แคลอรี ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ชัดเจน

  3. ควรให้อาหารแมวมากแค่ไหน?
  4. ปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับขนาด อายุ และระดับกิจกรรมของแมว คุณสามารถทำตามคำแนะนำที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์อาหารหรือปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

  5. แมวควรกินอาหารเปียกบ่อยแค่ไหน?
  6. การให้อาหารเปียกวันละ 1 – 2 ครั้ง ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเพิ่มความหลากหลายได้ สิ่งสำคัญคือต้องปรับปริมาณอาหารเปียกและอาหารเม็ดเพื่อให้มีสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการทางโภชนาการของแมว

  7. เราจำเป็นต้องให้อาหารแมวทุกวันหรือไม่?
  8. แมวต้องกินอาหารทุกวัน กำหนดเวลาอาหารให้ชัดเจนและทำเป็นกิจวัตรเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการและเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

  9. จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรากำลังหิว?
  10. คุณสามารถสังเกตได้จากภาษากายและสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น ส่งเสียงร้อง อยู่ไม่นิ่ง หรือเดินเข้าใกล้ชามอาหาร แนะนำให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมของแมวและจัดตารางการให้อาหารอย่างชัดเจนจะได้เข้าใจพฤติกรรมการกินของพวกเค้าได้ดีขึ้น

  • สาเหตุของแมวอ้วกและวิธีการรักษา
    สาเหตุของแมวอ้วกและวิธีการรักษา
    adp_description_block485
    สาเหตุของแมวอ้วกและวิธีการรักษา

    • แบ่งปัน

    สำหรับคนเลี้ยงแมว คุณคงเคยเห็นแมวอาเจียนบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งแมวก็อ้วกออกมาเป็นก้อนขน หรือบางครั้งคุณอาจพบว่าแมวอ้วกเป็นอาหารที่กินเข้าไป การอาเจียนแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่แมวที่มีสุขภาพดีไม่ควรอาเจียนบ่อยเกินไป การอาเจียนบ่อยครั้งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทางที่ดีควรไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่ซ่อนอยู่และรับการรักษาอย่างทันท่วงที

     

    ดังที่กล่าวไปแล้ว การอาเจียนเป็นครั้งคราวไม่ใช่เรื่องน่ากังวล คุณไม่จำเป็นต้องรีบพาแมวไปพบสัตวแพทย์ แต่ควรไปพบเมื่อแมวอ้วกหลังอาหารทุกมื้อหรือทุกวัน อ่านบทความของเราเพื่อเรียนรู้สาเหตุและวิธีดูแลรักษาอาการอาเจียนในแมวเพิ่มเติม

     

    แมวอาเจียนเพราะอะไร?

    การอาเจียนของแมวเกิดได้จากหลายสาเหตุ แมวอาจอาเจียนเมื่อสัมผัสกับสารพิษ เช่น พืชบางชนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการอาเจียนเรื้อรังได้ นอกจากนี้แมวยังมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น พวกเค้าอาจรับสารพิษเข้าไปแบบไม่รู้ตัวในขณะที่สำรวจสิ่งต่าง ๆ จนนำไปสู่การอาเจียนในที่สุด

     

    การอาเจียนไม่สามารถระบุความเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อที่เฉพาะเจาะจงได้ โรคในแมวเกือบทั้งหมดส่งผลให้แมวมีอาการอาเจียน ทั้งนี้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง คุณจะต้องพาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์ โดยการอาเจียนอาจเกิดจากปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ ความผิดปกติของอวัยวะ ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร อาหาร การติดเชื้อ โรคมะเร็ง และอื่น ๆ

     

    สาเหตุของการอาเจียนในแมว

    สาเหตุที่ทำให้แมวอ้วกมีอะไรบ้าง ตามมาดูไปพร้อม ๆ กันเลย

    1. ก้อนขนอุดตัน – 

    แมวชอบดูแลตัวเอง พวกเค้ามักจะเลียทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอ และลิ้นที่มีหนามเล็ก ๆ อาจเกี่ยวติดขนที่ใกล้หลุดร่วงออกมา ทำให้แมวกลืนขนบางส่วนลงไป ขนเหล่านี้จะสะสมอยู่ในท้องจนเกิดการอุดตัน แมวจึงต้องขย้อนมันออกมา การขย้อนก้อนขนเป็นเรื่องปกติและไม่น่ากังวล แต่หากแมวขย้อนก้อนขนบ่อยเกินไป นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาระบบทางเดินอาหาร ควรพาพวกเค้าไปพบสัตวแพทย์

     

    1. ปัญหาในระบบทางเดินอาหาร – 

    อาจเรียกว่าเป็นอาการท้องไส้ปั่นป่วนก็ได้ สาเหตุนี้อาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา ปัญหาเกี่ยวกับอาหาร และการได้รับสารพิษ ปัญหาในระบบทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะไม่รุนแรงและหายได้เอง ในขณะที่สาเหตุอื่น ๆ อาจก่อให้เกิดอาการเรื้อรังและต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

    • สิ่งแปลกปลอมหรือสิ่งกีดขวาง – หากแมวของคุณชอบกัดหรือเคี้ยวสิ่งของ มันก็มีโอกาสที่พวกเค้าจะกลืนชิ้นส่วนเล็ก ๆ ลงไป ทำให้เกิดการอุดตันในระบบทางเดินอาหารและเกิดการอาเจียนได้ ในกรณีนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน ทางที่ดีควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อตรวจเช็กอาการเพิ่มเติม

    • อาการภูมิแพ้แมวและโรคลำไส้อักเสบ – การแพ้อาหารจะเกิดขึ้นเมื่อแมวได้กินอาหารบางชนิดเข้าไป ซึ่งอาจทำให้แมวอ้วกออกมาทันทีเนื่องจากการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร บางครั้งการแพ้อาหารก็ทำให้เกิดอาการท้องเสียเรื้อรังได้เช่นกัน

    • อาการเจ็บป่วย – โรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น ตับอ่อนอักเสบ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป โรคไต และอื่น ๆ อาจทำให้แมวรู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนได้ หากแมวอ้วกบ่อยจนผิดปกติ คุณควรพาพวกเค้าไปตรวจเช็กร่างกายเพื่อค้นหาสาเหตุที่ซ่อนอยู่

    • การติดเชื้อปรสิต – ปรสิตตัวร้ายมักจะทำให้ลูกแมวมีอาการอาเจียน แต่สาเหตุนี้เกิดขึ้นได้กับแมวทุกวัยเช่นกัน แนะนำให้ตรวจสอบอาเจียนของแมวเพื่อหาพยาธิที่มีชีวิต ข่าวดีคือการอาเจียนจากปรสิตสามารถรักษาให้หายได้ 100%

    • โรคมะเร็ง – มะเร็งในระบบทางเดินอาหารพบได้บ่อยมากในแมว ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แมวมีอาการอาเจียน อย่างไรก็ตาม มะเร็งในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายก็อาจทำให้อาเจียนได้เช่นกัน

    ลักษณะอาเจียนของแมว

    ลักษณะของอาเจียนมีความสำคัญต่อการรักษา เนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงได้ แนะนำให้สังเกตหรือตรวจดูอาเจียนของแมวเพื่อแจ้งให้สัตวแพทย์ทราบ โดยลักษณะอาเจียนของแมวที่พบบ่อยมีดังนี้

     

    อาเจียนสีเหลือง

    แมวอ้วกเป็นสีเหลืองอาจเป็นเพราะอาหารย่อยได้แค่บางส่วนหรือเป็นน้ำดีในท้อง

    อาเจียนสีใส

    อาเจียนสีใสอาจเกิดขึ้นจากอาการท้องว่างหรือการสำรอกน้ำลายออกจากหลอดอาหาร

    อาเจียนสีขาว มีฟอง

    การขย้อนก้อนขนในขณะท้องว่างอาจทำให้แมวอาเจียนเป็นฟองสีขาวได้

    อาเจียนเป็นเลือด 

    อาเจียนเป็นเลือดอาจเกิดจากการอักเสบในกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร หรือลำไส้ส่วนบน

    อาเจียนสีน้ำตาล มีกลิ่น

    อาเจียนสีน้ำตาลและมีกลิ่นอาจเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้ยังอาจบ่งบอกถึงปัญหาเกี่ยวกับไตหรือตับด้วย

     

    ป้องกันไม่ให้แมวอาเจียนได้อย่างไร?

    เราสามารถป้องกันไม่ให้แมวอ้วกได้หลายวิธี แต่วิธีที่ดีที่สุดคือการดูแลเรื่องอาหารการกิน ในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้แมวหรือมีอาการแพ้อาหาร ควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากสัตวแพทย์ วิธีนี้จะช่วยป้องกันปัญหาอาเจียนเรื้อรังได้

     

    ขอแนะนำให้เลือกอาหารแมวที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล หลีกเลี่ยงการให้อาหารของคน คอยจับตาดูแมวขณะเล่นและอย่าปล่อยให้พวกเค้ากินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป สำหรับปัญหาก้อนขนอุดตัน คุณอาจเปลี่ยนมาให้อาหารสูตรลดก้อนขนหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่สัตวแพทย์แนะนำเพิ่มเติมได้

     

    การรักษาอาการอาเจียนในแมว

    การสังเกตลักษณะอาเจียนเป็นส่วนสำคัญในการรักษา คุณควรสังเกตว่าอาเจียนของแมวเป็นแบบใด แมวอ้วกเป็นอาหารที่กินเข้าไปหรือแมวอาเจียนเป็นฟองสีขาว ทั้งนี้พ่อแม่แมวหลายคนพยายามหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันหรือลดการอาเจียนมาใช้กับแมว แต่การอาเจียนเกิดจากหลายสาเหตุ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาจึงเป็นเรื่องยาก หากแมวของคุณอาเจียนเพราะปัญหาเกี่ยวกับอวัยวะในร่างกายหรือโรคมะเร็ง สิ่งแรกที่ควรทำคือเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม แต่หากแมวของคุณมีอาการอาเจียนเพียงเล็กน้อย สัตวแพทย์อาจสั่งยาแก้อาเจียนหรือยาลดกรดให้ สำหรับปัญหาระบบทางเดินอาหาร คุณอาจต้องเปลี่ยนสูตรอาหารที่เหมาะสมกับอาการ 

     

    การวินิจฉัยและการตรวจสอบโดยสัตวแพทย์

    สัตวแพทย์จะตัดสินใจว่าควรทดสอบและใช้วิธีการรักษาแบบใดโดยพิจารณาจากประเด็นเหล่านี้

    1. แมวมีไข้ อ่อนเพลีย หรือเซื่องซึมหรือไม่

    2. แมวมีอาการเบื่ออาหารไหม? น้ำหนักลดลงหรือเปล่า?

    3. แมวอ้วกเป็นเลือดหรือไม่?

    4. แมวมีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวไหม?

    5. ช่องท้องของแมวได้รับผลกระทบหรือไม่?

    6. แมวอ้วกบ่อยครั้งในหนึ่งวันหรือแค่หลังมื้ออาหาร?

    7. อาเจียนของแมวมีกลิ่นเหม็นไหม? แล้วอาเจียนมีสีอะไร?

    8. คุณเพิ่งเปลี่ยนอาหารให้แมวใหม่หรือเปล่า มีการให้อาหารเสริมหรือไม่?

    9. แมวของคุณชอบเคี้ยวของเล่นหรือกินอาหารอื่นเข้าไปหรือเปล่า?

    10. แมวตัวอื่นในบ้านมีอาการเหมือนกันไหม?

    การตรวจวินิจฉัยและการรักษาวิธีอื่น

    หากแมวของคุณอาเจียนบ่อยครั้งและคุณสงสัยว่าพวกเค้ามีปัญหาสุขภาพอื่นแอบแฝง สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ทำการทดสอบเพิ่มเติมและทำการรักษาในเชิงรุก หากแมวสูญเสียเลือดหรืออิเล็กโทรไลต์จำนวนมากจากการอาเจียนบ่อย ๆ คุณอาจต้องพาพวกเค้าไปรักษาในโรงพยาบาล

     

    สาเหตุอื่น ๆ ของการอาเจียนในแมว

    ก่อนจะเรียนรู้วิธีรักษาอาการอาเจียนของแมว เรามาดูสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้แมวอาเจียนกันก่อน

    1. สารพิษ

    • การอาเจียนจากการได้รับสารพิษขณะเลียขนเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด

    • แมวชอบเคี้ยวใบไม้ดอกไม้ในบ้าน ซึ่งพืชบางชนิดก็เป็นพิษกับแมว

    • ขณะที่เราทำความสะอาดบ้านด้วยสารเคมีต่าง ๆ แมวอาจสูดดมหรือเลียเข้าไป ทำให้เกิดการอาเจียนได้

    1. อาหาร

    • หากแมวไม่ยอมกินอาหารหรือกินช้าลงกว่าปกติ คุณอาจพบว่าแมวอ้วกเป็นอาหารที่ไม่ได้ย่อยออกมา

    • อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แมวอาเจียนบ่อยคือการเปลี่ยนอาหารอย่างกะทันหัน คุณควรเปลี่ยนอาหารอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ โดยค่อย ๆ ปรับปริมาณอาหารเดิมให้น้อยลง และเพิ่มปริมาณอาหารใหม่ให้มากขึ้น

    1. ปัญหาในระบบทางเดินอาหาร

    • การได้รับสิ่งแปลกปลอม มลพิษ หรือผลข้างเคียงของยา อาจทำให้เกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหารได้ เช่น มีอาการปวดท้อง

    • บางกรณีอาจไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่บางกรณีอาจร้ายแรงและควรได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์

    1. ปัญหาเกี่ยวกับลำไส้

    • การกลืนสิ่งแปลกปลอม เช่น เชือกหรือของเล่นชิ้นเล็ก ๆ อาจทำให้เกิดการอุดตันที่กระเพาะหรือลำไส้ 

    • ลำไส้อุดตันเป็นภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการดูแลรักษาทันที อาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช่น เนื้องอก หรือการบีบตัวผิดปกติของลำไส้

    • อาการที่สังเกตได้ทั่วไป เช่น แมวอ้วกบ่อย ไม่สามารถกลืนน้ำหรืออาหารได้

    1. ความผิดปกติของอวัยวะ

    • ความผิดปกติเรื้อรัง เช่น ตับอ่อนอักเสบ โรคไต และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนเรื้อรังในแมวได้

    • การระบุโรคที่เป็นต้นเหตุเป็นสิ่งสำคัญเพื่อค้นหาวิธีดูแลรักษาอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม อาการเจ็บป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต

    1. ปัญหาต่อมไร้ท่อ

    • หนึ่งในโรคต่อมไร้ท่อในแมวที่พบบ่อยที่สุดคือไฮเปอร์ไทรอยด์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป 

    • การทำงานมากเกินไปของต่อมไทรอยด์เกิดจากเนื้องอก (โดยปกติจะไม่เป็นอันตราย)

    • อัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้แมวอาเจียนได้

    อาการอาเจียนแบบใดที่น่ากังวล?

    พ่อแม่แมวไม่ควรละเลยหากแมวอาเจียนอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาเจียนแบบไหนถือว่าผิดปกติ? หากแมวอ้วก 1 – 3 ครั้งต่อเดือน จะถือว่าเป็นเรื่องปกติ

     

    กรณีที่ร้ายแรงหรือน่ากังวลคือแมวอ้วกวันละสองครั้งเป็นเวลาสองหรือสามวัน หากแมวของคุณไม่ยอมกินอาหาร มีอาการปวดท้อง อาเจียนอย่างต่อเนื่องหรืออาเจียนมีเลือดปน ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที

Close modal