IAMS TH
Puppy Basics: Feeding Tips for the First 6 Months
Puppy Basics: Feeding Tips for the First 6 Months-mob

adp_description_block360
พื้นฐานของลูกสุนัข: เคล็ดลับการให้อาหารสำหรับ 6 เดือนแรก

พื้นฐานของลูกสุนัข: เคล็ดลับการให้อาหารสำหรับ 6 เดือนแรก

  • แบ่งปัน

ในช่วง 6 เดือนแรก ลูกสุนัขของคุณจะมีการเปลี่ยนอาหารที่รวดเร็ว คุณเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และวิธีการเลี้ยงลูกสุนัขโดยพิจารณาจากพัฒนาการที่สำคัญที่ลูกสุนัขจะได้สัมผัส

ทำไมการเรียนรู้พัฒนาการของลูกสุนัขจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ

 

เนื่องจากความแตกต่างของสายพันธุ์และบุคลิกของลูกสุนัขแต่ละตัว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถรู้ได้แน่นอนว่าวันไหนหรือเมื่อไหร่การเจริญเติบโตและพัฒนาการของลูกสุนัขจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์สำคัญต่อไปนี้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการเจริญเติบโต , ปัญหาทางพัฒนาการที่สามารถสังเกตเห็นและป้องกันได้ในช่วงแรก เมื่อรู้ถึงเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ คุณก็จะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกสุนัขพร้อมที่จะหย่านมแล้ว

 

พัฒนาการของลูกสุนัข

 

เมื่อลูกสุนัขของคุณพร้อมที่จะเริ่มหย่านมแล้ว (โดยพิจารณาจากอายุ สุนัขที่กินนมแม่จะพร้อมหย่านมช่วงอายุ 4 สัปดาห์ และสุนัขที่ไม่มีแม่คอยเลี้ยงจะพร้อมหย่านมช่วงอายุ 3 สัปดาห์) โดยสามารถทำให้สุนัขหย่านมได้ที่ละขั้นตอน ดังนี้:

 

อายุพัฒนาการของลูกสุนัข
อายุ 7-10 วัน

ลูกสุนัขจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มเป็นสองเท่าจากแรกคลอด

ลูกสุนัขเริ่มปัสสาวะและถ่ายอุจจาระด้วยตัวเอง

อายุ 10-18 วัน

ลูกสุนัขพยายามที่จะยืน  

ดวงตาของลูกสุนัขเริ่มเปิด

หูของลูกสุนัขเริ่มเปิด

อายุ 18-21 วัน

ลูกสุนัขได้ยินและตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน

ลูกสุนัขเริ่มเดิน

อายุ 3 สัปดาห์

เริ่มหย่านมสำหรับลูกสุนัขกำพร้า

ลูกสุนัขเริ่มเปล่งเสียงตอบสนอง

ฟันน้ำนม (ทารก) จะเริ่มขึ้น

อายุ 4 สัปดาห์เริ่มกระบวนการหย่านมสำหรับลูกสุนัขที่เลี้ยงด้วยนมแม่
อายุ 3 - 6 เดือนฟันแท้ของลูกสุนัขเริ่มขึ้น

 

 

วิธีหย่านมลูกสุนัขด้วยไอแอมส์™

 

1. ให้เตรียมจานตื่น ๆ และใส่น้ำไว้เล็กน้อย โดยส่วนใหญ่แล้วลูกสุนัขจะชอบเล่นน้ำ ในช่วง 4-5 วัน ลูกสุนัขจะเริ่มมีพัฒนาการในการเลียกินน้ำจากจาน แต่ในลูกสุนัขบางตัวอาจต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกนานกว่านี้ ดังนั้น คุณอย่าเพิ่งท้อแท้ถ้าหากว่าลูกสุนัขจะต่อต้านการฝึกการในน้ำในชาม


 
2. เริ่มต้นผสมไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรลูกสุนัข สูตรดังเดิมกับน้ำ อย่าลืมเตรียมจานสำหรับน้ำสะอาดเอาไว้ให้ลูกสุนัขกินด้วย


 
3.     ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณของอาหาร ไปพร้อม ๆ กับลดปริมาณน้ำในส่วนผสมจนกว่าลูกสุนัขของคุณจะกินอาหารได้เต็มที่


 
4. ทำขั้นตอนเดิมเหมือนผสมอาหารไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรลูกสุนัข ในปริมาณที่เหมาะสมแล้วเพิ่มอาหารเม็ดในขณะที่ลดปริมาณอาหารอ่อนลงจนกว่าการเปลี่ยนได้สมบูรณ์ 

 

กระบวนการทั้งหมดควรใช้เวลาประมาณสามสัปดาห์

feeding tips for the first 6 months header
article feeding tips for the first 6 months header
  • สุนัขหายใจแรงเกิดจากอะไร?
    สุนัขหายใจแรงเกิดจากอะไร?
    adp_description_block28
    สุนัขหายใจแรงเกิดจากอะไร?

    • แบ่งปัน

    เคยเห็นน้องหมาหายใจแรงหรือหอบจนลิ้นห้อยกันไหม? พฤติกรรมนี้มักจะเกิดหลังการเล่นหรือในช่วงบ่ายที่อากาศค่อนข้างร้อน หลายคนอาจสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุเบื้องหลัง มันเชื่อมโยงกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของสุนัขหรือไม่

    การหอบของสุนัขเป็นวิธีการตอบสนองของร่างกายเพื่อควบคุมอุณหภูมิและระบายความร้อน อีกทั้งยังเป็นวิธีสื่อสารภาวะทางอารมณ์อย่างหนึ่งด้วย โดยการทำความเข้าใจลักษณะและสาเหตุของอาการหอบ จะช่วยให้เราดูแลน้องหมาที่รักได้ดียิ่งขึ้น
     

    อาการหอบของสุนัข

    สุนัขหอบเพื่อควบคุมอุณหภูมิร่างกาย เป็นกลไกที่คล้ายคลึงกับเหงื่อของคน แม้ว่าการหอบจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการมากผิดปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่
     

    อาการหอบทั่วไป

    • การหายใจ – สำหรับน้องหมาที่มีสุขภาพดี ในขณะที่นั่งพักมักจะมีอัตราการหายใจ 15 – 35 ครั้งต่อนาที
    • ความรุนแรง – หายใจตื้นแต่เงียบ ไม่ค่อยมีอาการลิ้นห้อย
    • บริบท – คาดว่าจะมีอาการหอบหลังออกกำลังกาย เล่น ตื่นเต้น หรือในช่วงที่อากาศร้อน
    • ความต่อเนื่อง – เมื่อได้รับการดูแลแล้ว (เช่น เย็นลงหรือสงบลง) การหอบก็ควรจะทุเลาลง
       

    อาการหอบที่ผิดปกติ

    • การหายใจ – ในช่วงพักหรือขณะเคลื่อนไหวเล็กน้อย น้องหมาหายใจเร็วมาก หรือมีอัตราการหายใจ 40 ครั้งต่อนาที นี่ถือเป็นสัญญาณอันตราย
    • ความรุนแรง – เมื่อสุนัขหายใจแรง การหอบจะลึกและหนักหน่วง โดยมีอาการลิ้นห้อยและน้ำลายไหลอย่างชัดเจน
    • บริบท – เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เช่น ขณะพักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่เย็นสบาย
    • ความต่อเนื่อง – อาการหอบไม่ทุเลาแม้จะดูแลหรือจัดการกับสาเหตุแล้ว อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น เซื่องซึม อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
       

    สาเหตุของอาการหอบ

    แม้อาการหอบจะเป็นกลไกหลักในการระบายความร้อน แต่อาการนี้ก็เกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน 
     

    สาเหตุทางกายภาพ

    • การควบคุมความร้อนในร่างกาย – การหอบช่วยให้ร่างกายของสุนัขเย็นลงหลังออกกำลังกาย เล่น หรือในช่วงที่อากาศร้อน โดยจะระเหยความชื้นออกจากลิ้นและทางเดินหายใจ เพื่อให้อุณหภูมิในร่างกายกลับสู่ระดับปกติ
    • ความเจ็บปวด – การหอบมากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บหรือปัญหาสุขภาพ ความเจ็บปวดทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการหอบ
    • ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ – โรคภูมิแพ้ หอบหืด อาการไอ และปัญหาในระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ อาจทำให้สุนัขหายใจได้ยาก ส่งผลให้หายใจหอบเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้องการออกซิเจนมากขึ้น
       

    สาเหตุทางอารมณ์

    • ความตื่นเต้น – เมื่อน้องหมารู้สึกตื่นเต้น อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งถูกมองว่าเป็นอาการหอบ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเล่น การทักทาย หรือการคาดหวังกิจกรรมโปรด
    • ความเครียดหรือวิตกกังวล – การหอบเป็นกลไกในการรับมือกับความเครียดและความกังวล แนะนำให้ระวังพฤติกรรมผิดปกติอื่น ๆ ด้วย เช่น เดินวนไปมา น้ำลายไหล หรือการเชิดหาง
    • ความกลัว – เสียงดัง พายุฝนฟ้าคะนอง และสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยสามารถกระตุ้นให้เกิดความกลัว ส่งผลให้น้องหมาหายใจเร็ว หอบ ตัวสั่น และพยายามซ่อนตัว
       

    ควรทำอย่างไรเมื่อสุนัขหายใจแรง?

    การเห็นเจ้าตัวน้อยกำลังดิ้นรนหายใจอาจเป็นประสบการณ์ที่สะเทือนอารมณ์ แต่สิ่งสำคัญคือต้องสงบสติอารมณ์ จากนั้นให้ประเมินสถานการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
     

    ตรวจสอบสภาพแวดล้อม

    • กิจกรรมล่าสุด – น้องหมาทำกิจกรรมใดไปบ้าง มีการออกแรงมากหรือไม่ เช่น เล่นคาบของ วิ่ง หรือออกกำลังกายอย่างหนัก
    • อุณหภูมิและสภาพอากาศ – อากาศร้อนหรือเปล่า? พวกเค้าตากแดดนานไปหรือไม่?
    • สภาพแวดล้อมที่ตึงเครียด – มีเสียงดัง คนที่ไม่คุ้นเคย หรือมีปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลหรือไม่?

    หากพบปัจจัยเหล่านี้ การหอบน่าจะเป็นการตอบสนองของร่างกายตามปกติเพื่อควบคุมอุณหภูมิหรือจัดการกับความเครียด ในกรณีนี้ เพียงจัดพื้นที่ที่อากาศถ่ายเท เย็นสบาย และเงียบสงบให้น้องหมาพักผ่อน รวมถึงควรจัดเตรียมน้ำสะอาดให้เพียงพอด้วย
     

    สังเกตอาการและพฤติกรรม

    • ความรุนแรง – การหอบหายใจตื้นและเงียบสงบ หรือลึกและหนักหน่วง
    • การหายใจ – พวกเค้าหายใจกี่ครั้งต่อนาที
    • ลิ้น – มีอาการลิ้นห้อยและน้ำลายไหลหรือไม่
    • อาการร่วม – มีอาการร่วมด้วยหรือไม่ เช่น เซื่องซึม อาเจียน หรือเบื่ออาหาร

    คอยสังเกตอาการและการหายใจของน้องหมาอย่างใกล้ชิด อาการหอบที่มากผิดปกติทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นสบาย อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพซึ่งควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม
     

    วิธีการดูแล

    • ลดอุณหภูมิร่างกาย – ย้ายน้องหมาไปยังบริเวณที่อากาศถ่ายเทและมีร่มเงา 
    • เตรียมน้ำสะอาด – ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเค้าสามารถเข้าถึงน้ำที่สะอาดและสดใหม่ได้ตลอดเวลา
    • สร้างสภาพแวดล้อมที่สงบ – สร้างพื้นที่ที่เงียบสงบและสะดวกสบายเพื่อให้น้องหมาพักผ่อนโดยปราศจากการรบกวน

    ขั้นตอนเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการหอบที่เกิดจากความร้อนหรือความเครียดได้
     

    อาการหอบแบบใดที่น่ากังวลและควรพาไปพบสัตวแพทย์?

    ลักษณะอาการเหล่านี้เป็นอาการที่ผิดปกติและน่ากังวล ควรไปพบคุณหมอทันทีที่พบเห็น

    • อาการร่วม – หากน้องหมามีอาการหอบร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น เซื่องซึม อ่อนแรง เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย ไอ เหงือกซีด น้ำลายไหลมาก หรือมีพฤติกรรมผิดปกติ ควรได้รับการดูแลจากสัตวแพทย์โดยทันที
    • อาการหอบอย่างรุนแรง – อาการหอบลึก หนักหน่วง และลิ้นห้อย อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรง ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที
    • อาการหอบอย่างต่อเนื่อง – หากยังคงมีอาการหอบอยู่แม้จะพักผ่อนแล้ว อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นแล้ว หรือได้รับการดูแลเบื้องต้นแล้ว กรณีนี้จำเป็นต้องได้รับการประเมินจากสัตวแพทย์เพิ่มเติม
    • อาการหอบไม่ดีขึ้น – หากการหอบไม่ทุเลาลงภายในระยะเวลาที่เหมาะสมหรือแย่ลงไปอีก แม้ว่าจะจัดการกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมแล้วก็ตาม คุณจำเป็นจะต้องขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

    แม้การหอบจะเป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย แต่ก็บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน คุณจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเพื่อประเมินความรุนแรงและความน่ากังวล วิธีนี้จะช่วยให้คุณดูแลน้องหมาได้ดียิ่งขึ้น

Close modal