อาหารมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีของสุนัขมาก ซึ่งเป็นเหตุผลที่คุณควรเลือกอาหารที่มีคุณภาพ รวมถึงมีสารอาหารครบถ้วนและสมดุลเหมาะกับช่วงวัยของพวกเค้า แต่สารอาหารบางชนิด อย่าง แอล - คาร์เนทีน อาจะเป็นสิ่งที่คุณไม่คุ้นเคยกัน เรามาดูกันว่า สารอาหารชนิดนี้คืออะไร และมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัดสุนัขได้อย่างไรกัน
คาร์เนทีน หรือ แอล - คาร์เนทีน เป็นสารประกอบคล้ายวิตามินที่ผลิตจากกรดอะมิโนในร่างกาย พบในแห ล่งโปรตีนจากสัตว์เท่านั้น มันถูกใช้เพื่อช่วยในการเผาผลาญไขมันในสัตว์สายพันธุ์อื่น และจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยลดน้ำหนักในสุนัขที่มีน้ำหนักเกินได้ด้วยเช่นกัน
แอล - คาร์เนทีน เป็นสารที่ละลายในน้ำติดอยู่กับกรดไขมัน และจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเซลล์ไมโตคอนเดรียซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ที่แปลงไขมันให้เป็นพลังงานรูปแบบที่ใช้งานได้ ซึ่งมันจะถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานสำหรับเนื้อเยื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจ ตับ และกล้ามเนื้อ โดยกระบวนการนี้เหล่านี้ คารเนทีนมีส่วนช่วยให้ปริมาณไขมันในร่างกายและปริมาณไขมันในกระแสเลือดลดลง
จากการศึกษาของ ไอแอมส์™ โดยแบ่งกลุ่มทดลองเป็นสองกลุ่ม คือสุนัขที่มีน้ำหนักเกินและได้รับอาหารทั่วไปไม่มีแอล – คาร์เนทีน และอีกกลุ่มหนึ่งได้รับอาหารที่เสริมด้วยแอล – คาร์เนทีน
หลังจากนั้นเจ็ดสัปดาห์ ผลที่ได้พบว่ากลุ่มที่ได้รับอาหารที่ไม่มีแอล – คาร์เนทีน น้ำหนักตัวลดลงไป 1.8% แตกต่างจากอีกกลุ่มที่ได้อาหารที่มีแอล – คาร์เนทีน น้ำหนักลดลงถึง 6.4% และปริมาณไขมันในร่างกายที่ลดลงก็แตกต่างกัน คือกลุ่มแรก 2.4% และกลุ่มที่สอง 4.6% เท่ากับว่าแอล – คาร์เนทีนมีผลต่อการลดน้ำหนักของสุนัข
ไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ Healthy Weight สูตรที่ใช้ แอล – คาร์เนทีนจะช่วยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานโดยมีเส้นทางที่จะช่วยให้เขามีสุขภาพที่ดี
1 Sunvold GD, Tetrick MA, Davenport GM, Bouchard GF การเสริม แอล – คาร์เนทีน จะช่วยลดน้ำหนักและลดความอ้วนในสุนัข การดำเนินการของสมาคม XXIII World Small Animal Veterinary Association. p. 746 ตุลาคม, 1998

ลูกสุนัขตัวเล็กพร้อมนำความสุขมาให้พวกเราตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้าบ้าน และการดูแลพวกเค้าอย่างดีก็กลายเป็นนิสัยติดตัวของเรา เชื่อว่าเจ้าของหลาย ๆ คนอาจมีคำถามว่า “เราควรดูแลลูกสุนัขอย่างไรดี?” บอกได้เลยว่าการดูแลลูกสุนัขนั้นแสนง่ายดาย หากรู้วิธีที่ถูกต้อง ซึ่งไอแอมส์ได้รวบรวมคำตอบและเทคนิคดี ๆ อีกมากมายมาให้คุณแล้ว
เจ้าตัวน้อยสี่ขาต้องการอาหารที่ดีมีคุณภาพ และสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เพราะพวกเค้าช่างเปราะบาง มีโอกาสเจ็บป่วยและติดโรคร้ายได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีนิสัยชอบเคี้ยวสิ่งของต่าง ๆ จึงต้องคอยระมัดระวังไม่ให้กลืนสิ่งของอันตรายลงท้อง และควรจัดเตรียมของเล่นสำหรับกัดแทะไว้ให้พวกเค้าแทน
หากเลือกให้อาหารคุณภาพดีตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข พวกเค้าก็จะเติบโตอย่างแข็งแรงสมวัย การดูแลโภชนาการอย่างเหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี มันช่วยลดความเสี่ยงในการล้มป่วยและการมีปัญหาสุขภาพลง นอกจากนี้ควรพาน้องหมาไปออกกำลังกายเป็นประจำ หากไม่ได้ออกกำลังหรือไม่ทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายเลย อาจส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ ซึ่งทั้งสองข้อนี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เจ้าตัวน้อยของคุณมีสุขภาพแข็งแรงอย่างยั่งยืน
ตารางพัฒนาการนี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจความเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัยของเจ้าตัวน้อยที่แสนน่ารักได้ดียิ่งขึ้น:
พัฒนาการลูกสุนัข | 0-7 สัปดาห์ | 7-8 สัปดาห์ | 8-10 สัปดาห์ | 8-16 สัปดาห์ | 4-6 เดือน | 6-12 เดือน | 12-18 เดือน |
ลักษณะการเปลี่ยนแปลง | ลูกสุนัขเริ่มเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคม เช่น การกัด การยอมจำนน การให้ความสนใจ และการโต้ตอบกับน้องหมาตัวอื่น | เป็นช่วงวัยที่ดีที่สุดในการเชื่อมความสัมพันธ์กับเจ้าของ | ถือเป็นช่วงเวลาที่ลูกสุนัขอ่อนแอที่สุด อาจเรียกอีกอย่างว่า 'ช่วงเวลาแห่งความกลัว' เป็นการดีที่สุดหากช่วยให้ลูกสุนัขมีประสบการณ์เชิงบวก | สามารถเริ่มฝึกทักษะต่าง ๆ ได้แล้วในช่วงนี้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการลงโทษขณะฝึก | ลูกสุนัขจะมีความมั่นใจ และต้องการอิสระมากขึ้น | เป็นช่วงเวลาในการปลดปล่อยพลังงาน ควรจัดหากิจกรรมมาให้พวกเค้าทำแก้เบื่อด้วยนะ | เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยนี้ ลูกสุนัขจะเริ่มมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคงขึ้น |
เริ่มฝึกทักษะขั้นพื้นฐานให้พวกเค้าได้แล้ว | ควรปลอบโยนเวลาที่พวกเค้ารู้สึกกลัวหรือเสียใจ | สามารถทำหมันได้เมื่อมีอายุ 6 เดือน | ควรเตรียมของเล่นที่หลากหลายไว้ให้พร้อม | ในช่วงนี้ น้องหมาจะพยายามขึ้นเป็นจ่าฝูง และพยายามยืนยันสถานะของตัวเอง |
การต้อนรับลูกสุนัขมาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องจัดการหลังพาพวกเค้าเข้าบ้านแล้ว และนี่คือเคล็ดลับที่จะช่วยให้การดูแลนั้นง่ายขึ้น: