IAMS TH
How to Help Your Obese Cat Lose Weight
How to Help Your Obese Cat Lose Weight

adp_description_block337
วิธีสังเกตและดูแลอาการภูมิแพ้ในแมว

  • แบ่งปัน

เราจะเริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ กันก่อน - คุณคิดว่าเจ้าเหมียวของคุณต้องลดน้ำหนักหรือไม่?

สำหรับทาสแมวแล้ว เจ้าเหมียวสุดแสนจะเพอร์เฟค ตัวกลมนุ่มฟู มีพุงกะทิน้อย ๆ กำลังพอดี ทั้งหมดนี้อาจทำให้คุณคิดว่าพวกเค้ามีสุขภาพดี แต่ความจริงนั้น พวกเค้าอาจกำลังกลายเป็นแมวน้ำหนักเกินแล้วก็ได้ ซึ่งในปัจจุบันปัญหาแมวอ้วนเกินพบได้บ่อยมากยิ่งขึ้น 

การให้อาหารมากเกินไปคือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด! น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็เพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพบางอย่างได้แล้ว เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 รวมถึงแมวที่มีน้ำหนักเกินมักมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหวตัว การเลียทำความสะอาดตัวเองทำได้ลำบาก ด้วยเหตุนี้การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเค้าเอง นับว่าโชคดีที่การทำให้น้ำหนักแมวอ้วนลดลงเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่กำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการและออกกำลังกายเป็นประจำเท่านั้นเอง

โรคอ้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง?

โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันส่งผลเสียต่อสุขภาพ การใช้ชีวิต และการทำงานของร่างกายในระยะยาว นอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุของโรคร้ายแรงอีกมากมาย ปัญหาแมวอ้วนเกินจึงควรได้รับการดูแลในทันที:

  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

เมื่อน้องแมวมีน้ำหนักเกิน ระบบภูมิคุ้มกันก็จะอ่อนแอลง ส่งผลให้แมวมีโอกาสติดเชื้อโรคต่าง ๆ ง่ายขึ้น แมวอ้วนมักติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะและเสี่ยงต่อการเกิด 'ก้อนนิ่ว' เนื่องจากเคลื่อนไหวน้อย ดื่มน้ำน้อย และปัสสาวะน้อยลง

  • โรคเบาหวาน

Around 80% to 90% of obese cats require daily insulin shots as they are more likely to develop diabetes. But, when their excess weight is eliminated, diabetes can often be reversed.

  • ตับวาย

เมื่อร่างกายของแมวรู้สึกว่าได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือการลำเลียงอาหารถูกขัดขวาง ไขมันสำรองจะถูกย้ายไปยังตับเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่ร่างกายของแมวไม่สามารถควบคุมกระบวนการนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีไขมันมาพอกที่ตับและอาจเกิดภาวะตับวายตามมา

  • กรูมมิ่งตัวเองไม่ได้

แมวที่มีน้ำหนักเกินจะดูแลทำความสะอาดตัวเองได้ยากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาผิวหนังได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้องแมวน้ำหนักเกิน?

  • วางมือลงไปบริเวณด้านข้างลำตัวของแมว ควรสัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครง
  • เห็นเอวคอดอย่างชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สุดท้ายนี้ คุณควรสังเกตเห็นหน้าท้องเว้าเล็กน้อยเมื่อมองจากด้านข้าง หากหน้าท้องมีลักษณะเป็นถุงและห้อยย้อยเกือบติดพื้น แสดงว่ามีไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันอันตรายที่สะสมอยู่ตามอวัยวะและกล้ามเนื้อหน้าท้อง ทำให้หน้าท้องยื่นหรือป่องออกมา

สามารถเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตารางด้านล่างนี้ –

สามารถเช็กข้อมูลเพิ่มเติมได้จากตารางด้านล่างนี้

ตารางเช็กรูปร่างน้องแมว

  • เห็นกระดูกซี่โครงและกระดูกสันหลังชัดเจน ไม่มีไขมันส่วนเกิน
  • สามารถเห็นและสัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครงโดยง่าย เห็นเอวคอดชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สัมผัสได้ถึงกระดูกซี่โครงโดยมีรู้สึกถึงไขมันส่วนเกิน เห็นเอวคอดชัดเจนเมื่อมองจากมุมบน
  • สัมผัสถึงกระดูกซี่โครงแต่มีชั้นไขมันปกคลุม ไม่เห็นเอว หน้าท้องกลม ห้อยย้อย
  • ไม่สามารถสัมผัสถึงกระดูกซี่โครง มีชั้นไขมันหนากั้น เห็นหน้าท้องกลม ห้อยย้อยชัดเจน
     

จะหลีกเลี่ยงโรคอ้วนในแมวได้อย่างไร?

หลังจากทำให้แมวอ้วนกลับมามีรูปร่างสมส่วนแล้ว เป้าหมายต่อไปคือต้องดูแลพวกเค้าให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว พฤติกรรมต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยงและควรทำเพื่อไม่ให้น้องแมวน้ำหนักเกิน:

  • ให้อาหารแบบไม่กำหนดเวลา

เพื่อป้องกันไม่ให้แมวอ้วน ควรกำหนดเวลาให้อาหารที่แน่นอนและให้อาหารในปริมาณที่เหมาะสม

ให้อาหารแบบไม่กำหนดเวลา

  • ไม่ชวนน้องแมวออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม

น้องแมวมีแนวโน้มจะอ้วนมากขึ้น หากไม่ได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเลย เพื่อลดความเบื่อหน่ายและป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่ม ควรเตรียมของเล่นหลากหลายชนิดเอาไว้พวกเค้า รวมถึงแบ่งเวลามาทำกิจกรรมร่วมกัน หรือลองฝึกใส่สายจูงออกไปเดินเล่นด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว

ไม่ชวนน้องแมวออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม

  • ให้อาหารแบบไม่จำกัดปริมาณ

สามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสำหรับแมวเหมียว โดยปริมาณจะพิจารณาจากกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน อายุ และน้ำหนักตัวที่ต้องการ เมื่อกำหนดปริมาณอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันแล้ว อาจแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อต่อวัน

ให้อาหารแบบไม่จำกัดปริมาณ

การลดน้ำหนักถือเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าเหมียว จึงควรควบคุมน้ำหนักให้ดี ไม่ปล่อยให้เจ้าเหมียวกลายเป็นแมวอ้วนตุ้ยนุ้ย

  • เล่นเก็บบอล

การเล่นหรือทำกิจกรรมสนุก ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดน้ำหนักเจ้าเหมียวได้เป็นอย่างดี แมวส่วนใหญ่ชอบเล่นไล่จับแสงเลเซอร์หรือแสงจากไฟฉาย บางตัวก็ชอบออกไปเดินเล่น บางตัวก็ชอบเล่นล่าเหยื่อเพื่อให้ได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณนักล่าออกมา อาจลองหาคอนโดแมวมาไว้ในบ้านให้พวกเค้าปีนป่าย หรือจะสอนเล่นคาบบอลก็สนุกไปอีกแบบ สำหรับการจัดหาของเล่นนั้น คุณจะซื้อหรือประดิษฐ์ของเล่นขึ้นมาเองก็ได้ รู้มั้ยว่า อาหารก็เป็นของเล่นได้เหมือนกัน เพียงแค่เอาอาหารไปซ่อนไว้ตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ให้พวกเคาตามหา เท่านี้ก็จะได้เกมสนุก ๆ อีกหนึ่งเกมแล้ว ทั้งนี้การเล่นสามารถทำได้หลายรูปแบบ แต่อย่าปล่อยให้เจ้าแมวอ้วนหมดแรง รู้สึกเหนื่อยจนเกินไป หรือหายใจลำบาก และควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเล่นกับแมวสูงวัย

  • ใช้ความอดทน

โรคอ้วนป้องกันง่ายกว่ารักษาก็จริง แต่การลดน้ำหนักก็ไม่ใช่เรื่องยากและเริ่มต้นทำได้ทุกเมื่อ อาจต้องใช้เวลา ความมุ่งมั่น และความอดทนมากหน่อย การลดน้ำหนักเป็นกระบวนการที่เห็นผลช้า เพียงแค่ลดปริมาณอาหารอย่างเดียวไม่อาจสำเร็จได้ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่นได้อีก

การออกกำลังกายเป็นประจำ ปรับพฤติกรรมในแต่ละวัน และกำหนดปริมาณอาหารเป็นวิธีป้องกันโรคอ้วนในแมวได้อย่างยอดเยี่ยม

  • เคล็ดลับในการควบคุมน้ำหนักเจ้าเหมียว

  • ปรึกษาขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ก่อนเสมอ
  • งดขนมทุกประเภท
  • แบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อ
  • เลือกสูตรอาหารสำหรับควบคุมน้ำหนักโดยเฉพาะ
  • ชั่งน้ำหนักน้องแมวทุก 2 สัปดาห์
  • ในช่วงสัปดาห์แรก น้ำหนักแมวไม่ควรลดมากกว่า 1% - 1.5% จากน้ำหนักปกติ
  • อดทนและออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการควบคุมน้ำหนักแมว

  1. อาการบอกโรคอ้วนในแมวมีอะไรบ้าง?
  2. สามารถสังเกตได้จากอาการเหล่านี้:

    • นั่งหรือนอนทั้งวัน โดยไม่เต็มใจจะลุกขึ้นเดินไปมา
    • มองไม่เห็นเอวคอดหรือท้องเว้า
    • สัมผัสกระดูกซี่โครงและสะโพกยาก

     

  3. ควรดูแลแมวอ้วนอย่างไร?
  4. เริ่มจากปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสม ทั้งเลือกสูตรอาหาร และกำหนดปริมาณอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย

  5. สาเหตุที่ทำให้แมวมีน้ำหนักเกินคืออะไร?
  6. โรคอ้วนในแมวมักเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย การให้อาหารมากไป น้องแมวนั่ง ๆ นอนๆ ทั้งวัน และเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

  7. ควรให้อาหารแมวอ้วนอย่างไร?
  8. เลือกให้อาหารเปียกกับน้องแมวที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะแมวส่วนใหญ่ชอบอาหารเปียกมากกว่าอาหารเม็ด อาหารเปียกจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

  9. จะเกิดอะไรขึ้นบ้างถ้าแมวมีน้ำหนักเกิน?
  10. แมวอ้วนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ไขมันส่วนเกินส่งผลเสียต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิต และอายุขัยของพวกเค้า นอกจากนี้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่โรคข้ออักเสบได้ด้วย

  • Chicken: The Complete Protein Source for Your Cat
    Chicken: The Complete Protein Source for Your Cat
    adp_description_block500
    แมวกินไก่ได้ไหม?

    • แบ่งปัน

    แมวกินไก่ได้ไหม? นับเป็นหนึ่งในคำถามคาใจของทาสแมวส่วนใหญ่ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าเหมียวมักจะส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อขอชิมเนื้อไก่ในจานของคุณ

    ไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและเป็นส่วนประกอบหลักในอาหารแมวหลายชนิด อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังบางอย่างที่ทาสแมวควรรู้ก่อนให้เจ้าเหมียวกินเนื้อไก่ ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาเปิดเผยเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินไก่ให้ทุกคนได้รู้กัน

    ประโยชน์ของการให้แมวกินไก่

    ไก่ดีสำหรับแมวหรือไม่? ต้องบอกก่อนว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ ซึ่งหมายความว่าโปรตีนจากสัตว์มีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของพวกเค้า เนื้อไก่จัดเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่หาได้ง่าย มีประโยชน์มากมาย และเป็นที่โปรดปรานของแมวส่วนใหญ่ด้วย

    1. แหล่งโปรตีนคุณภาพเยี่ยม

      ไก่เป็นแหล่งโปรตีนจากสัตว์คุณภาพสูงซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต การพัฒนากล้ามเนื้อ และการบำรุงร่างกายของแมว โปรตีนมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและช่วยให้ขนแข็งแรง

    2. กรดอะมิโนที่จำเป็น

      ไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น เช่น ทอรีน ซึ่งมีความสำคัญต่อแมวมาก การขาดทอรีนอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรง รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและความบกพร่องในการมองเห็น

    3. อุดมไปด้วยสารอาหาร

      ไก่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามินบี 6 ไนอาซิน ฟอสฟอรัส และซีลีเนียม สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยให้แมวมีความเป็นอยู่ที่ดีและช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

    4. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย

      เนื้อไก่มีค่าความชื้นสูงโดยธรรมชาติ การกินเนื้อไก่จึงช่วยให้แมวได้รับปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การกินน้ำในปริมาณที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพไตของแมวด้วย

    5. รสชาติอร่อย

      แมวส่วนใหญ่ชื่นชอบเนื้อไก่ มันจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดใจเจ้าเหมียวเลือกกินหรือกินยาก

      แม้ว่าไก่จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของแมว แต่ก็ควรให้ในปริมาณที่พอเหมาะและหลีกเลี่ยงการให้เป็นอาหารหลัก โดยคุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสมเพิ่มเติมได้

    แมวกินไก่ดิบได้หรือไม่?

    การให้แมวกินไก่ดิบมีความเสี่ยงสูง เพราะไก่ดิบก็เหมือนกับเนื้อดิบอื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนสารอันตราย เชื้อโรคเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง รวมถึงอาจทำให้แมวอาเจียน ท้องเสีย และอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้การให้ไก่ดิบเป็นอาหารหลักยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารด้วย 

    เพื่อความปลอดภัยของแมว วิธีที่ดีที่สุดคือปรุงไก่ให้สุก โดยจะช่วยลดการปนเปื้อนของแบคทีเรียและช่วยให้ย่อยได้ง่ายขึ้น

    แมวกินกระดูกไก่ได้หรือไม่?

    กระดูกไก่ โดยเฉพาะส่วนที่มีขนาดเล็กและเปราะ เช่น ปีกหรือน่อง เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก แมวต่างจากสุนัขตรงที่ระบบย่อยอาหารละเอียดอ่อนกว่าและไม่สามารถย่อยกระดูกได้อย่างปลอดภัย เมื่อแมวเคี้ยวหรือกลืนกระดูกเข้าไปก็อาจนำไปสู่ปัญหาเหล่านี้

    1. มีอาการสำลัก – กระดูกชิ้นเล็ก ๆ อาจติดอยู่ในลำคอแมว ทำให้เกิดการสำลัก ขย้อน และอาจเกิดการอุดตันในระบบทางเดินหายใจได้

    2. เกิดการทิ่มแทง – เศษกระดูกไก่มักจะมีความแหลมคม ซึ่งอาจทิ่มหรือบาดปาก คอ และทางเดินอาหารของแมวได้

    3. เกิดการอุดตัน – เศษกระดูกอาจทำให้เกิดการอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    4. สร้างความบาดเจ็บแก่อวัยวะภายใน – เศษกระดูกแหลมคมสามารถเจาะลำไส้หรือกระเพาะอาหารของแมว ทำให้เกิดการบาดเจ็บภายในและการติดเชื้อได้

      เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียว ควรเอากระดูกออกจากไก่ก่อนเสิร์ฟเสมอ และควรปรุงไก่ให้สุกทุกครั้ง โดยหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรุงรส เครื่องเทศ และส่วนผสมที่อาจเป็นอันตราย

    ไก่ดิบเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแมวหรือไม่?

    อย่างที่รู้กันว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ และไก่ดิบก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี ไม่ผ่านการปรุงแต่งใด ๆ แต่มันก็มีความเสี่ยงร้ายแรงอยู่บ้าง ดังนั้นหากคุณกำลังวางแผนให้แมวกินไก่ดิบ มาติดตามข้อควรรู้ที่น่าสนใจกันก่อนดีกว่า

    1. พยาธิและแบคทีเรีย

      ไก่ดิบอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella) และเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) ซึ่งเชื้อเหล่านี้อาจทำให้ทั้งแมวและคุณปวดท้องได้ แม้ว่าแมวจะไม่แสดงอาการ แต่ก็สามารถแพร่เชื้อมาให้คุณได้

    2. กระดูก

      กระดูกไก่ดิบหรือไก่สุกอาจแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในของแมว อีกทั้งยังทำให้แมวมีอาการสำลัก บาดปาก บาดคอ หรืออาจอุดตันในทางเดินอาหาร

    3. ภาวะขาดสารอาหาร

      แม้ว่าไก่จะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี แต่มันมีสารอาหารที่แมวต้องการไม่ครบถ้วน การให้ไก่ดิบเป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารได้ หากต้องการให้แมวได้รับสารอาหารที่เหมาะสม แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อจัดทำเมนูที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ

    วิธีเตรียมไก่ดิบให้แมว

    การกินไก่ดิบอาจมีความเสี่ยงมากมาย แต่หากเตรียมการอย่างดีก่อนเสิร์ฟให้เจ้าเหมียว เมนูนี้ก็จะปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ

    1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อสดใหม่

      ความสดใหม่เป็นปัจจัยที่สำคัญ ตรวจสอบวันหมดอายุและสัญญาณการเน่าเสีย เช่น กลิ่นผิดปกติหรือการเปลี่ยนสี

    2. เตรียมไก่ก่อนเสิร์ฟ

      ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขียง มีด และเครื่องใช้ของคุณสะอาดและถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการปนเปื้อน แนะนำให้เตรียมเขียงสำหรับทำอาหารให้แมวโดยเฉพาะ

    3. ทำความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของแบคทีเรีย

      ล้างไก่ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นเพื่อขจัดเศษซากต่าง ๆ จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้ากระดาษสะอาด ขั้นตอนนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ทำให้อาหารแมวของคุณปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากขึ้น

      ไก่อาจมีข้อดีและประโยชน์มากมาย แต่การให้แมวกินไก่ก็มีข้อควรระวังที่คุณต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ โดยแนะนำให้เอากระดูกออก ปรุงสุกก่อนเสมอ และกำหนดปริมาณให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้ไก่ดิบ เนื่องจากมักจะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียและมีสารอาหารไม่ครบถ้วนตามที่แมวต้องการ

      หากคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำ การปรึกษาสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นวิธีที่ดีเสมอ หรือหากคุณไม่เวลาเตรียมอาหาร อาจเลือกให้อาหารสำเร็จรูปคุณภาพดีแทนก็ได้ ขอแนะนำไอแอมส์™ อาหารแมวเกรดพรีเมียมที่มีเนื้อไก่เป็นส่วนประกอบหลัก และผ่านการคิดค้นสูตรให้ตรงตามความต้องการทางโภชนาการในแต่ละวันของแมว มั่นใจได้เลยว่าเจ้าเหมียวจะได้รับอาหารที่สมดุลและปลอดภัย

Close modal