IAMS TH
How to Keep Your Cat’s Urinary Tract in Tip-top Shape
How to Keep Your Cat’s Urinary Tract in Tip-top Shape

adp_description_block32
ทำความเข้าใจโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

  • แบ่งปัน

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวคืออะไร?

กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นโรคที่ไม่ได้พบบ่อยในแมว และแมวทุกตัวที่มีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจจะไม่ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (NCBI) มีแมวเพียง 1 – 2% เท่านั้นที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโรคที่พบไม่บ่อย แต่หากน้องแมวมีอาการก็จำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยเพิ่มเติม
 

อาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

เนื่องจากเป็นโรคที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและความไม่สบายอย่างรุนแรง เจ้าของจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับอาการหรือสัญญาณเตือนต่าง ๆ ของโรคให้ดี ซึ่งอาการที่พบได้มีดังนี้

  • ปัสสาวะบ่อยแต่มีปริมาณน้อย
  • มีเลือดปะปนในปัสสาวะ
  • เลียบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่าปกติ
  • ส่งเสียงร้องออกมาขณะปัสสาวะ
  • ปัสสาวะนอกกระบะทราย

การวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

ในการวินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ สัตวแพทย์จะทำการทดสอบตัวอย่างปัสสาวะเพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย โดยคุณหมอจะดูดปัสสาวะออกจากกระเพาะปัสสาวะโดยตรงเพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน เมื่อตรวจตัวอย่างปัสสาวะแล้ว คุณหมอก็จะทำการแยกเชื้อแบคทีเรียเพื่อศึกษาต่อไป ขั้นตอนนี้เรียกว่าการเพาะเชื้อและการทดสอบความไวของเชื้อต่อยา ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอกำหนดยาที่เหมาะสมต่อการรักษาได้
 

การติดเชื้อครั้งแรกหรือการติดเชื้อแบบเฉียบพลันมักจะรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์กว้าง อย่างไรก็ตาม หากแมวของคุณมีอาการป่วยจากการติดเชื้อเรื้อรัง สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อเริ่มให้ยาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
 

สาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอเนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง
  • การสอดใส่สายสวนปัสสาวะ
  • นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร

การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

แม้ว่าจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ยากและพบไม่บ่อย แต่ทางที่ดีก็ควรดูแลน้องแมวอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ โดยการดูแลป้องกันที่แนะนำมีดังนี้

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแมวดื่มน้ำเพียงพอ แนะนำให้ทำความสะอาดชามน้ำเป็นประจำและหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกวัน
  • ทำความสะอาดกระบะทรายวันละสองครั้ง และควรเปลี่ยนทรายใหม่ทุกสองสัปดาห์
  • หมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของปริมาณและสีของปัสสาวะ หากพบการความผิดปกติควรปรึกษาสัตวแพทย์
  • เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคที่อาจนำไปสู่ปัญหากระเพาะปัสสาวะอักเสบ หากแมวของคุณมีอาการของโรคดังกล่าว ควรปรึกษาสัตวแพทย์ทันที
  • สำหรับแมวสูงวัยและแมวที่มีน้ำหนักตัวเกิน อาจมีปัญหาในการขยับเขยื้อนตัวและไม่สามารถเลียตัวทำความสะอาดได้อย่างทั่วถึง เจ้าของอาจต้องช่วยดูแลเรื่องความสะอาดมากเป็นพิเศษ

สามารถรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวด้วยตนเองได้หรือไม่?

การดูแลรักษาน้องแมวที่มีอาการของโรคนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การให้กินน้ำแครนเบอร์รี แอปเปิลไซเดอร์ และซุปโครงกระดูก ซึ่งส่วนใหญ่เชื่อกันว่าสามารถบรรเทาอาการของโรคได้ อย่างไรก็ตาม การรักษาเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้น้องแมวหายขาด และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โอกาสที่จะเป็นซ้ำก็เพิ่มมากขึ้น ทางที่ดีจึงควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมว

  1. จะรู้ได้อย่างไรว่าน้องแมวมีอาการของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ?
  2. น้องแมวที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มักจะมีอาการดังต่อไปนี้

    • ปัสสาวะบ่อยแต่ในปริมาณน้อย
    • อาจส่งเสียงร้องขณะปัสสาวะ
    • เลียบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่าปกติเนื่องจากอาการระคายเคือง
    • อาจมีเลือดปนในปัสสาวะ

    หากพบว่าน้องแมวมีอาการข้างต้น ควรพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที

  3. หากไม่รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการจะดีขึ้นเองได้หรือไม่?
  4. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะบางชนิดสามารถหายได้เอง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้แน่ใจว่าอาการไม่รุนแรงหรือเรื้อรัง คุณควรพาน้องแมวไปพบสัตวแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างเหมาะสม

  5. การกินน้ำน้อยเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบในแมวใช่หรือไม่?
  6. น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแมว การกินน้ำน้อยอาจทำให้ร่างกายมีภาวะขาดน้ำและเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะด้วย เจ้าของจึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแมวได้รับน้ำเพียงพอตลอดทั้งวัน

  7. แมวที่เลี้ยงในบ้านเสี่ยงต่อโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือไม่?
  8. การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ แม้ว่าแมวที่เลี้ยงในบ้านจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่ำกว่าแมวที่เลี้ยงนอกบ้าน แต่หากละเลยเรื่องความสะอาดหรือสุขอนามัย พวกเค้าก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างกระบะทรายที่ไม่ได้ทำความสะอาดเป็นประจำ อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียร้ายแรงนับไม่ถ้วน และแบคทีเรียที่ปะปนอยู่ในอุจจาระก็สามารถแพร่เข้าไปในท่อปัสสาวะได้ทุกครั้งที่น้องแมวขับถ่าย เจ้าของจึงควรทำความสะอาดกระบะทรายอย่างน้อยวันละสองครั้ง นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันอย่างฉับพลัน ความเครียด และภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้เช่นกัน

  • cat article detail banner
    cat article detail banner
    adp_description_block364
    วิธีอ่านฉลากอาหารแมวอย่างถูกต้อง

    • แบ่งปัน

    เชื่อว่าทาสแมวทั้งหลาย ต้องเช็กข้อมูลส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการอย่างละเอียด ก่อนเลือกซื้ออาหารให้น้องเหมียวสุดเลิฟ แต่บางครั้งข้อมูลเหล่านี้ก็อาจสร้างความสับสน ต้องเลือกแบบไหน? เลือกอย่างไร? ให้มีสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสำหรับเจ้าตัวน้อยมากที่สุด ในบทความนี้ เราจึงรวบรวมจุดสังเกตสำคัญบนฉลากโภชนาการ เพื่อช่วยให้คุณอ่านและทำความเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ตามมาดูกันเลย

    ฉลากอาหารมีข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบ้าง?

    ฉลาก จะต้องบ่งบอกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้

    • คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี
    • ข้อมูลบริษัทและการบริการลูกค้า
    • ส่วนผสมในการผลิตอาหาร
    • รหัสระบุผลิตภัณฑ์ และวันหมดอายุ
    • ปริมาณการให้อาหารที่แนะนำต่อวัน
    • มาตรฐาน AAFCO

    คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี

    ข้อมูลในส่วนนี้จะบอกอัตราส่วนสูงสุดหรือต่ำสุดของปริมาณสารอาหารแต่ละชนิด โดยเปอร์เซ็นสูงสุด (ไม่น้อยกว่า %) หมายถึงสารอาหารที่มีปริมาณมากที่สุด ส่วนเปอร์เซ็นต่ำสุด (ไม่มากกว่า %) หมายความว่ามีปริมาณสารอาหารอย่างน้อยกี่เปอร์เซ็น ทั้งนี้ฉลากอาหารแมวควรระบุปริมาณส่วนประกอบและสารอาหารสำคัญจำนวน 4 ชนิด ซึ่งได้แก่

    • โปรตีน (ไม่น้อยกว่า %)
    • ไฟเบอร์ (ไม่มากกว่า %)
    • ไขมัน (ไม่มากกว่า %)
    • ความชื้น (ไม่มากกว่า %)

    ตัวอย่างเช่น หากฉลากบนผลิตภัณฑ์ระบุว่ามี โปรตีน ไม่น้อยกว่า 25% แปลว่าคุณค่าของโปรตีนที่ได้รับต้องมีปริมาณอย่างน้อย 25% หรือมากกว่า การคำนวณคุณค่าสารอาหารเหล่านี้ต้องวิเคราะห์และทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

    ฉลากอาหารอาจระบุส่วนประกอบอื่น ๆ ด้วย เช่น แมกนีเซียม (ไม่น้อยกว่า %) ,ทอรีน (ไม่มากกว่า %) ,เถ้า หรือส่วนของสารอนินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารหลังการเผาผลาญ (ไม่น้อยกว่า %) และกรดลิโนเลอิก (ไม่มากกว่า %)

    • แม้ว่าคุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมีจะเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้เปรียบเทียบความแตกต่างของอาหารแมวแต่ละชนิด อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถใช้วัดคุณภาพของอาหารหรือบ่งบอกคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับโดยตรง วิธีเดียวที่จะเปรียบเทียบได้อย่างเหมาะสม คือการคำนวณปริมาณพลังงานที่ใช้ได้จากสารอาหาร โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ทางผู้ผลิตให้มานั่นเอง

    การควบคุมคุณภาพของอาหารแมว

    1. มาตรฐาน AAFCO

    อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงต้องได้รับการตรวจสอบจาก AAFCO (Association of American Feed Control Officials) ซึ่งเป็นองค์กรภาครัฐในอเมริกาเหนือ ทำหน้าที่กำหนดมาตราฐานโภชนาการสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยง หากตรวจสอบแล้วว่าการผลิตเป็นไปตามมาตรฐานและมีคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสม บนบรรจุภัณฑ์ก็จะมีสัญลักษณ์ของ AAFCO รับรองอยู่ ทั้งนี้มั่นใจได้เลยว่าการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงของ มาร์ส เพ็ทแคร์ เป็นไปตามมาตรฐานของ AAFCO รวมถึงมีคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนและสมดุลสำหรับเจ้าตัวน้อยที่คุณรัก

    ส่วนผสมในการผลิตอาหาร

    รายการของส่วนผสมจะเรียงลำดับตามปริมาณมากไปน้อย

    แม้จะระบุรายการและอัตราส่วนของส่วนผสมต่าง ๆ มาให้ แต่เราก็ไม่สามารถพิจารณาคุณภาพของส่วนผสมได้อย่างชัดเจน การตรวจสอบคุณภาพของอาหารต้องผ่านการวิเคราะห์และทดสอบในห้องปฏิบัติการเท่านั้น

    โดยฉลากอาหารแมวจำเป็นต้องระบุข้อมูลสำคัญเหล่านี้

    • ข้อมูลโดยรวม – ชื่อแบรนด์อาหารและส่วนผสมหลักในการผลิตอาหาร เช่น ข้าวและเนื้อไก่
    • ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย – เป็นข้อมูลเกี่ยวกับผู้ผลิตอาหาร เพื่อใช้สำหรับการติดต่อในกรณีที่พบปัญหาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์
    • ปริมาณสุทธิของอาหาร – บอกถึงปริมาณอาหารทั้งหมดที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์
    • รายการส่วนผสม –ส่วนผสมที่สำคัญจะแสดงเป็นร้อยละของน้ำหนักโดยประมาณ โดยจะเรียงลำดับจากปริมาณมากไปน้อย
    • การตามสอบ – เป็นข้อมูลที่ใช้ตรวจสอบแหล่งผลิตอาหาร หรือตลอดทุกขั้นตอนในการผลิต
    • แถลงการณ์เรื่องความเพียงพอทางโภชนาการ – เพื่อชี้แจงว่าอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงต้องมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ รวมถึงอธิบายว่าเหมาะสำหรับน้องแมวช่วงวัยใดบ้าง
    • คุณภาพอาหารสัตว์ทางเคมี – จะบ่งบอกปริมาณสารอาหารในรูปแบบอัตราส่วนร้อยละ โดยต้องระบุปริมาณของโปรตีน ไขมัน ไฟเปอร์ และความชื้นอย่างครบถ้วน หรืออาจระบุส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วยได้
    • ปริมาณพลังงาน – อาจระบุเป็นกิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม หรือระบุด้วยหน่วยวัดอื่น ๆ ที่ใช้กันทั่วไป เช่น กิโลแคลอรีต่อถ้วย
    • ปริมาณการให้อาหารที่แนะนำต่อวัน – เป็นแนวทางในการกำหนดปริมาณอาหารที่เหมาะสมต่อวัน หรือปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว

    แถลงการณ์เรื่องความเพียงพอทางโภชนาการของ AAFCO

    อาหารสัตว์เลี้ยงทุกชนิด ต้องมีข้อความเกี่ยวกับความเพียงพอทางโภชนาการของ AAFCO โดยจะมีการกำหนดหรือทดสอบตามขั้นตอนและคำแนะนำของ AAFCO

    • 'ตามสูตร' หมายความว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการผลิตตามหลักเกณฑ์ด้านโภชนาการของ AAFCO แต่ไม่มีการทดสอบอาหารกับสัตว์เลี้ยงก่อนจำหน่าย
    • 'ทดสอบ' คือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบด้านโภชนาการ และมีการทดสอบอาหารกับสัตว์เลี้ยงเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามเกณฑ์ด้านการเจริญเติบโต การบำรุงรักษา และ/หรือการสืบพันธุ์

    ผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์อาจระบุข้อความ เช่น 'ผลิตภัณฑ์นี้มีไว้สำหรับการให้อาหารชั่วระยะเวลาเท่านั้น' และ 'ใช้ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์เท่านั้น'

    รหัสระบุผลิตภัณฑ์ และวันหมดอายุ

    รหัสการผลิตจะถูกใช้ในการติดตามผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหา ใช้ตรวจสอบสินค้าคงคลัง และจัดการกับปัญหาที่ลูกค้าพบเจอได้ดีขึ้น

    วันหมดอายุหรือวันที่ “ควรบริโภคก่อน” ใช้ในการพิจารณาความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์และอายุการเก็บรักษา

    วิธีอ่านฉลากโภชนาการ

    เคล็ดลับง่าย ๆ ในการอ่านฉลากโภชนาการ มีดังนี้

    • สังเกตชื่อผลิตภัณฑ์ – เพื่อเช็กชนิดและรสชาติของอาหาร โดยชื่อผลิตภัณฑ์มักจะเน้นส่วนผสมหลักหรือรสชาติของอาหาร
    • สังเกตประเภทของอาหาร – ต้องระบุว่าเป็นอาหารสำหรับน้องแมวโดยเฉพาะ เพราะพวกเค้ามีความต้องการทางโภชนาการที่เฉพาะเจาะจง และแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น ๆ
    • เลือกอาหารที่ใช่ – ข้อมูลบนฉลากผลิตภัณฑ์ช่วยให้เราเลือกอาหารได้ดีขึ้น โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าอาหารมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลหรือไม่ เหมาะกับช่วงวัยของน้องแมวหรือเปล่า อาหารบางชนิดก็อาจระบุว่าเหมาะสำหรับแมวทุกช่วงอายุ สำหรับแมววัยผสมพันธุ์ หรือแมวที่เลี้ยงแบบระบบปิด

    ข้อมูลบริษัทและการรับประกันความพึงพอใจ

    ข้อมูลของผู้ผลิตควรประกอบด้วยชื่อบริษัท ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว

    ควรมีหมายเลขโทรศัพท์โทรฟรีเพื่อความสะดวกของลูกค้า และเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเรียกเก็บเงินเมื่อมีการโทรขอข้อมูลเพิ่มเติม

    นอกจากจะระบุการรับประกันสินค้าแล้ว ผู้ผลิตต้องระบุด้วยว่ามีขั้นตอนดำเนินการอย่างไรเพื่อให้เป็นไปตามความพึงพอใจของลูกค้า (เช่น การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ การคืนเงิน ฯลฯ)

Close modal