IAMS TH
Feeding Guidelines for Your Cat
Feeding Guidelines for Your Cat

adp_description_block408
คู่มือการให้อาหารแมวฉบับมือโปร

  • แบ่งปัน

โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมว เจ้าตัวน้อยเหล่านี้ต้องการอาหารที่ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ สำหรับปริมาณอาหารที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ น้ำหนัก ระดับกิจกรรม และสุขภาพโดยรวม
 

สิ่งที่ต้องใส่ใจในการให้อาหารแมวคือการกำหนดปริมาณและการเลือกอาหารที่เหมาะสม อย่าให้อาหารมากเกินไป เพราะอาจนำไปสู่โรคอ้วนซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย หรือคุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อกำหนดแนวทางการให้อาหารและจัดการกับความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียวที่คุณรักก็ได้

 

วิธีการให้อาหารแมว

จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราให้อาหารเจ้าเหมียวในเวลาที่เหมาะสมและในปริมาณที่เพียงพอ หากคุณสงสัยว่าควรเลือกอาหารแมวอย่างไร ต้องให้อาหารวันละกี่มื้อ แล้วสามารถให้อาหารเสริมหรือขนมกับแมวได้หรือไม่ มาค้นหาคำตอบไปด้วยกันในบทความนี้
 

แมวเป็นสัตว์กินเนื้อ พวกเค้าไม่ต้องการอาหารที่มีพืชเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากไม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ในทางกลับกัน แมวต้องการสารอาหารที่อยู่เนื้อสัตว์อย่างน้อย 70% เพื่อความอยู่รอดและมีสุขภาพที่ดี ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลักเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเค้าจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเพียงพอ

 

ควรวางแผนการให้อาหารแมวอย่างไร?

แนะนำให้แบ่งอาหารเป็นสองมื้อต่อวัน โดยเว้นระยะห่างกันไม่เกิน 12 ชั่วโมง หรือจะแบ่งออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อก็ได้ เช่น มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น อย่างไรก็ตาม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอาหารมีแคลอรีและสารอาหารที่เพียงพอ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรามีพฤติกรรมการกินอย่างไร?

เมื่อเจ้าเหมียวคุ้นเคยกับการกินอาหารเป็นเวลา พวกเค้าจะค่อย ๆ แสดงพฤติกรรมการกินเฉพาะตัวออกมาให้เห็น เช่น เล่นกับอาหารก่อนกิน ชอบกินอาหารเพียงลำพัง หรือแอบเก็บอาหารเอาไว้ นิสัยเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย คุณไม่จำเป็นต้องกังวล แต่สำหรับพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วง ได้แก่

  1. กินอาหารไม่หมด ทั้งที่ให้ในปริมาณปกติ

  2. น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน

  3. ไม่ยอมกินอาหารนานเกิน 24 ชั่วโมง

หากแมวเหมียวของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพาไปพบสัตวแพทย์ในทันที

 

ปัจจัยที่ส่งผลต่อปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับ

การกำหนดปริมาณอาหารต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการทางโภชนาการเฉพาะของแมว

 

อายุหรือช่วงวัย

ความต้องการทางโภชนาการของแมวจะเปลี่ยนไปตามช่วงวัย ลูกแมวในช่วงเดือนแรก ๆ จะเติบโตและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวเล็กเหล่านี้จึงต้องการอาหารที่อุดมไปด้วยพลังงาน โปรตีน และสารอาหารที่จำเป็นอื่น ๆ ในขณะที่แมวสูงวัยมักจะทำกิจกรรมน้อยลง อัตราการเผาผลาญก็ลดลง พวกเค้าจึงต้องการอาหารที่มีพลังงานเหมาะสมเพื่อควบคุมน้ำหนักและบำรุงข้อต่อ การปรับสูตรอาหารให้เหมาะกับวัยถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสุขภาพที่ดีและยืดอายุของแมวให้อยู่ได้นานมากขึ้น

 

ขนาดตัว

ขนาดตัวของแมวเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการกำหนดปริมาณแคลอรี แมวตัวใหญ่มักจะต้องการอาหารมากขึ้นเพื่อรักษาระดับพลังงานและใช้เป็นเชื้อเพลิงให้กับร่างกาย ในทางกลับกัน แมวพันธุ์เล็กต้องการอาหารน้อยกว่าและต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน การเลือกสูตรอาหารที่เหมาะกับขนาดตัวจะทำให้แมวได้รับอาหารที่ตอบสนองความต้องการอย่างเพียงพอ

 

ระดับกิจกรรม

แมวที่มีความแอคทีฟสูง ชอบเล่น ชอบออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง มักจะใช้พลังงานจำนวนมากและอาจต้องการพลังงานเพิ่มเติม ส่วนแมวที่ขยับตัวน้อยหรืออยู่แต่ในบ้านจำเป็นต้องได้รับการควบคุมอาหารอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักตัวเกินและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
 

เลี้ยงในบ้านและเลี้ยงนอกบ้าน

สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ใช้กำหนดปริมาณอาหาร ไม่ว่าเลี้ยงในบ้านหรือนอกบ้านก็ส่งผลโดยตรงต่อการใช้พลังงานของเจ้าเหมียว แมวที่ถูกเลี้ยงนอกบ้านมักจะทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้ต้องการปริมาณแคลอรีสูงเพื่อเติมพลังในการผจญภัย ส่วนแมวที่เลี้ยงในบ้านจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นจากโรคอ้วน

 

สภาพร่างกาย

สภาพร่างกายเกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมและน้ำหนักตัว สำหรับแมวที่มีน้ำหนักเกิน ควรเลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำ หรือหากแมวของคุณมีอาการเจ็บป่วยหรือมีโรคประจำตัว อาจต้องเปลี่ยนอาหารตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ รวมถึงอาจต้องเปลี่ยนวิธีการให้อาหารและหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดด้วย

 

ภาวะสุขภาพ

แมวที่มีปัญหาสุขภาพต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารมากเป็นพิเศษ เช่น แมวที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องควบคุมปริมาณอาหารเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่วนแมวที่เป็นโรคไตอาจต้องกินอาหารสูตรพิเศษที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของไต และแมวที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจต้องเลือกอาหารที่มีส่วนประกอบเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ ขอแนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับการเลือกสูตรอาหารที่สอดคล้องกับความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าเหมียว

 

ควรให้อาหารแมววันละกี่ครั้ง?

ความถี่ในการให้อาหารจะพิจารณาจากอายุของแมว โดยคุณสามารถทำตามตารางแนะนำด้านล่างนี้ได้ เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเหมียวจะได้รับโภชนาการที่เหมาะสมในทุกช่วงวัย

 

Age

Schedule

1 สัปดาห์

ทุก ๆ 2 ชั่วโมง

1 – 2 สัปดาห์

ทุก 2 – 3 ชั่วโมง

2 – 3 สัปดาห์

ทุก 3 – 4 ชั่วโมง

3 – 4 สัปดาห์

ทุก 4 – 5 ชั่วโมง

4 – 5 สัปดาห์

ทุก 5 – 6 ชั่วโมง

5 – 8 สัปดาห์

ทุก ๆ 6 ชั่วโมง

8 – 16 สัปดาห์

ทุก 6 – 8 ชั่วโมง

4 – 5 เดือน

ทุก ๆ 8 ชั่วโมง

6 เดือนขึ้นไป

ทุก 8 – 12 ชั่วโมง

 

ควรให้อาหารแมวมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?

การกำหนดปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับอายุ ขนาด และระดับกิจกรรมของแมว หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือทำตามคำแนะนำที่ระบุบนผลิตภัณฑ์อาหารแมวของไอแอมส์™ ช่วงแรกอาจเริ่มให้อาหารในปริมาณที่แนะนำไปก่อน จากนั้นค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของเจ้าเหมียว และควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยหลาย ๆ มื้อต่อวัน

 

วิธีการเปลี่ยนอาหารให้แมว ทำอย่างไร?

สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนอาหารให้แมวคือต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นด้วยการให้อาหารในอัตราส่วนอาหารใหม่ 25% ต่ออาหารเก่า 75% หลังจากสามวันผ่านไป ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณอาหารใหม่และลดปริมาณอาหารเก่าลง

 

วิธีการให้อาหารแมวแบบเปียกและแบบเม็ด

เมื่อเข้าใจหลักการในการให้อาหารตามอายุและปัจจัยอื่น ๆ แล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับถัดมาคือชนิดของอาหาร ควรให้อาหารเปียกหรืออาหารเม็ดกันนะ? อาหารทั้งสองชนิดมีประโยชน์เฉพาะตัว และตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของแมวในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน เรามาดูข้อดีของอาหารทั้งสองชนิดนี้ประกอบการตัดสินใจไปด้วยกัน

 

อาหารเปียก VS อาหารเม็ด

เรารู้ดีว่าการตัดสินใจเลือกอาหารแมวต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เราจึงรวบรวมคุณประโยชน์ของอาหารแต่ละชนิดมาฝากทุกคน

 

ประโยชน์ของอาหารเม็ด

  1. อาหารเม็ดให้ง่าย จัดเก็บง่าย มีอายุการเก็บรักษานานกว่าอาหารเปียก และเมื่อเปิดแล้วไม่ต้องแช่เย็น แต่ต้องเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดมิดชิด

  2. เนื้อสัมผัสกรุบกรอบของอาหารเม็ดมีส่วนช่วยให้สุขภาพเหงือกและฟันดีขึ้น โดยการเคี้ยวอาหารเม็ดจะช่วยลดการสะสมของคราบพลัคและหินปูนได้

  3. อาหารเม็ดมักจะมีราคาถูกกว่าอาหารเปียก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

  4. อาหารเม็ดมักจะมีปริมาณแคลอรีสูงกว่าอาหารเปียก หมายความว่าแม้จะให้ในปริมาณน้อยก็ยังสามารถให้พลังงานที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน จึงเป็นประโยชน์สำหรับแมวที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

 

ประโยชน์ของอาหารเปียก

  1. อาหารเปียกมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี เหมาะสำหรับน้องแมวที่ไม่ค่อยชอบกินน้ำหรือกินน้ำไม่เพียงพอ

  2. เนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่มและรสชาติที่หลากหลายของอาหารเปียกช่วยเพิ่มความอยากอาหาร นำมาดึงความสนใจจากเจ้าเหมียวช่างเลือกได้เป็นอย่างดี

  3. อาหารเปียกอุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่หลากหลาย ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพโดยรวมของแมว

  4. อาหารเปียกเหมาะสำหรับแมวที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะด้านหรือแมวที่ต้องการอาหารพิเศษ เพราะสามารถให้ร่วมกับยาหรืออาหารเสริมได้

ตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความชอบ ความต้องการด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ของเจ้าเหมียวแต่ละตัว พ่อแม่บางคนอาจเลือกให้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารเปียกเพื่อให้แมวได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและรสชาติที่น่าพึงพอใจ ปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณเพื่อปรับอาหารให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของเจ้าเหมียว

 

จำเป็นต้องให้อาหารทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดหรือไม่?

แม้ว่าอาหารเปียกจะมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุล แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ทุกมื้อ อาหารเม็ดของไอแอมส์™ ผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพสูง เช่น เนื้อไก่ เนื้อแกะ หรือเนื้อปลา อีกทั้งยังมีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วนตามที่แมวต้องการ
 

แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับแนวทางการให้อาหารหรือการเลือกสูตรอาหารที่เหมาะสม คุณหมออาจประเมินโภชนาการของแมวเพื่อพิจารณาว่าแมวของคุณต้องการอาหารประเภทใด

 

หากต้องกินอาหารเดิม ๆ ตลอดเวลา แมวจะเบื่อหรือไม่?

ไม่ แมวมักจะพอใจกับการกินอาหารเพียงชนิดเดียว โดยทั่วไปแล้วแมวจะกินอาหารเพื่อให้ได้รับพลังงานหรือสารอาหารที่ต้องการ พวกเค้ามีระบบย่อยอาหารสั้นมากและหากเปลี่ยนอาหารอย่างกะทันหันหรือเปลี่ยนตลอดเวลา อาจทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนหรือมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร นอกจากนี้การเปลี่ยนอาหารบ่อย ๆ ยังทำให้แมวมีนิสัยเลือกกินอีกด้วย

 

สามารถผสมน้ำกับอาหารเม็ดได้หรือไม่?

การเติมน้ำในอาหารเม็ดไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการเปลี่ยนไป แต่ต้องรีบกินให้หมด ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้นานเพราะเสี่ยงต่อการเน่าเสีย อย่างไรก็ตาม อาหารเม็ดถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะให้ง่าย สะดวก และเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบของอาหารเม็ดก็ช่วยขัดฟันได้ดีด้วย

 

แมวกินอาหารสุนัขได้หรือไม่?

แมวและสุนัขมีความต้องการทางโภชนาการที่แตกต่างกันและไม่ควรกินอาหารของกันและกัน การกินอาหารของกันและกันเป็นครั้งคราวอาจไม่เป็นอันตราย แต่ก็ไม่แนะนำให้กินเป็นประจำ

 

เราสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันกับแมวได้หรือไม่?

หากน้องแมวของคุณต้องการสารอาหารเพิ่มเติม คุณสามารถให้อาหารเสริมจำพวกวิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดไปได้ แต่หากคุณเลือกให้อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและสมดุลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมใด ๆ เพิ่ม เพราะอาหารคุณภาพดีเหล่านี้มีปริมาณสารอาหารที่สมดุล อยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม จึงไม่จำเป็นต้องให้อะไรเพิ่มอีก

 

หากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับโภชนาการของสัตว์เลี้ยงเพิ่มเติม ควรทำอย่างไร?

คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสัตว์เลี้ยงและโภชนาการของไอแอมส์ได้ที่เว็บไซต์ https://th.iams.asia/contact-us

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการให้อาหารแมว

  1. แมวควรกินอาหารมากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน?
  2. ปริมาณอาหารที่แมวควรได้รับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ขนาด อายุ และระดับกิจกรรม โดยทั่วไปแมวโตเต็มวัยต้องการพลังงานประมาณ 200 – 300 แคลอรี ทั้งนี้ควรปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ชัดเจน

  3. ควรให้อาหารแมวมากแค่ไหน?
  4. ปริมาณอาหารขึ้นอยู่กับขนาด อายุ และระดับกิจกรรมของแมว คุณสามารถทำตามคำแนะนำที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์อาหารหรือปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

  5. แมวควรกินอาหารเปียกบ่อยแค่ไหน?
  6. การให้อาหารเปียกวันละ 1 – 2 ครั้ง ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำและเพิ่มความหลากหลายได้ สิ่งสำคัญคือต้องปรับปริมาณอาหารเปียกและอาหารเม็ดเพื่อให้มีสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการทางโภชนาการของแมว

  7. เราจำเป็นต้องให้อาหารแมวทุกวันหรือไม่?
  8. แมวต้องกินอาหารทุกวัน กำหนดเวลาอาหารให้ชัดเจนและทำเป็นกิจวัตรเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการและเสริมความเป็นอยู่ที่ดี

  9. จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวของเรากำลังหิว?
  10. คุณสามารถสังเกตได้จากภาษากายและสัญญาณเตือนเหล่านี้ เช่น ส่งเสียงร้อง อยู่ไม่นิ่ง หรือเดินเข้าใกล้ชามอาหาร แนะนำให้หมั่นสังเกตพฤติกรรมของแมวและจัดตารางการให้อาหารอย่างชัดเจนจะได้เข้าใจพฤติกรรมการกินของพวกเค้าได้ดีขึ้น

  • kitten constipation image
    kitten constipation image
    adp_description_block409
    เมื่อลูกแมวท้องผูก วิธีแก้และการดูแลอย่างถูกต้อง

    • แบ่งปัน

    ลูกแมวมักจะเต็มไปด้วยพลังและความสดใส ทำให้บ้านของคุณเต็มไปด้วยความสุขและความสนุก อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวเล็กเหล่านี้ก็อาจมีวันที่ไม่ดีได้เช่นกัน คุณอาจพบว่าพวกเค้าดูไม่สบายตัว กินอะไรแทบไม่ได้เลย และขับถ่ายไม่ออก เป็นไปได้ว่าพวกเค้าอาจมีอาการท้องผูก
     

    อาการท้องผูกในลูกแมว คืออะไร?

     

    อาการท้องผูกเป็นภาวะที่ทำให้ขับถ่ายลำบาก ขับถ่ายน้อยกว่าปกติ ในบางกรณี อาการไม่สบายนี้อาจรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ยิ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานานกว่า 48 ชั่วโมง
     

    ลูกแมวท้องผูก มีอาการอย่างไรบ้าง?

     

    ลูกแมวแต่ละตัวจะแสดงอาการแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปมักจะมีอาการดังนี้
     

    1. ขับถ่ายน้อยหรือไม่ขับถ่ายเลย – หากลูกแมวของคุณไม่ขับถ่ายเป็นเวลา 24 – 48 ชั่วโมง นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของอาการท้องผูก

    2. ขับถ่ายลำบาก – ลูกแมวอาจใช้กระบะทรายนานผิดปกติ อาจเดินวนไปวนมาไม่ยอมขับถ่ายสักที หรือถ่ายออกมาเป็นอุจจาระก้อนเล็กและแข็ง

    3. เบื่ออาหาร – ลูกแมวที่มีอาการท้องผูกมักจะกินอาหารน้อยลง

    4. เซื่องซึม – จากที่ชอบเล่นและสำรวจ ลูกแมวกลับนอนมากขึ้นและดูไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรมต่าง ๆ

    5. ท้องอืดหรืออาเจียน – หากลูกแมวอาเจียนหรือท้องดูป่อง อาจเป็นเพราะท้องผูก
       

    สาเหตุของอาการท้องผูกในแมว

     

    อาการท้องผูกเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
     

    1. ภาวะขาดน้ำ – หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ ลูกแมวก็อาจมีอาการท้องผูกได้

    2. กลืนสิ่งของที่ไม่สามารถย่อยได้ – ลูกแมวสำรวจสิ่งใหม่ ๆ รอบตัวด้วยการดมกลิ่นและการกัดแทะ พวกเค้าอาจเผลอกลืนสิ่งของต่าง ๆ ลงไป เช่น ริบบิ้นหรือยางรัดผม สิ่งเหล่านี้อาจไปอุดตันในทางเดินอาหารได้

    3. ขาดการกระตุ้น – ลูกแมวที่ยังไม่หย่านมจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นขับถ่าย ไม่เช่นนั้น พวกเค้าอาจมีอาการท้องผูก

    4. พยาธิในลำไส้ – การติดเชื้อพยาธิหรือปรสิตอย่างหนักในลำไส้อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้

    5. โรคทางระบบประสาทหรือปัญหาอื่น ๆ – ภาวะทางระบบประสาทหรือโรคบางอย่างที่ส่งผลต่อส่วนหลังของลำตัวอาจทำให้ลูกแมวมีอาการท้องผูกได้

     

    หลังทราบสาเหตุและอาการเบื้องต้นกันไปแล้ว เรามาเจาะลึกถึงวิธีดูแลรักษาอาการท้องผูกในแมวกันบ้าง
     

    การรักษาอาการท้องผูกในแมว

     

    ในกรณีที่ลูกแมวกินอาหารได้ตามปกติและยังคงกระฉับกระเฉง เราสามารถบรรเทาอาการไม่สบายได้ด้วยตนเองที่บ้าน แต่หากลูกแมวมีอาการท้องผูกอย่างต่อเนื่อง หรือกระตือรือร้นน้อยลงและไม่ยอมกินอาหาร ควรพาไปพบสัตวแพทย์
     

    โดยคุณหมออาจรักษาด้วยการให้สารน้ำบำบัด การสวนทวาร หรืออาจต้องเอกซเรย์เพื่อตรวจหาการอุดตัน และในกรณีที่ร้ายแรง คุณหมออาจต้องผ่าตัดนำอุจจาระที่อุดตันออก

     

    การดูแลเยียวยาอาการท้องผูกในลูกแมวที่บ้าน

     

    สุขภาพและความเป็นอยู่ของลูกแมวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้เลี้ยงทุกคน หากสังเกตเห็นสัญญาณเริ่มแรกของอาการท้องผูก คุณสามารถดูแลพวกเค้าด้วยวิธีเหล่านี้ก่อนไปพบสัตวแพทย์ได้

     

    1. ให้ลูกแมวกินน้ำมากขึ้น – การให้น้ำเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันอาการท้องผูก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเตรียมน้ำสะอาดเพียงพอ วางชามน้ำในจุดที่เข้าถึงง่าย หากลูกแมวชอบอาหารเม็ดให้ลองผสมน้ำอุ่นเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำที่ลูกแมวควรจะได้รับ

    2. เพิ่มไฟเบอร์ในอาหาร – ไฟเบอร์แค่เพียงเล็กน้อยก็สามารถบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมหัศจรรย์ คุณอาจเติมฟักทองหนึ่งช้อนลงในอาหารของเจ้าตัวน้อย หรือเลือกให้อาหารแมวไอแอมส์™ โปรแอคทีฟ เฮลท์™ สูตรแม่และลูกแมว ที่มีพรีไบโอติกจากธรรมชาติ (FOS) ช่วยเสริมการทำงานของลำไส้และระบบย่อยอาหาร

    3. กระตุ้นให้แมวเคลื่อนไหวร่างกาย – การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ชวนลูกแมวของคุณทำกิจกรรมที่สนุกสนานและได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ

    4. หมั่นสังเกตพฤติกรรมลูกแมว – สังเกตพฤติกรรมของลูกแมวอย่างใกล้ชิด หากอาการแย่ลงหรือคงอยู่นานกว่าหนึ่งวัน ถึงเวลาต้องพบสัตวแพทย์แล้ว

     

    การฟื้นฟูและการจัดการกับอาการท้องผูกในแมว

     

    เมื่อกำจัดสิ่งที่อุดตันออกไปแล้ว ลูกแมวมักจะฟื้นตัวจากอาการท้องผูกได้อย่างรวดเร็ว แต่เราก็ยังคงต้องค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ รวมถึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ ทั้งการให้ยาตามที่กำหนด การถ่ายพยาธิและตรวจอุจจาระเป็นประจำ การทำความเข้าใจอาการท้องผูกช่วยให้ลูกแมวของคุณมีความสุข มีสุขภาพดี และพร้อมที่จะสำรวจโลกที่น่าตื่นเต้นได้อย่างเต็มที่
     

    ด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และการเยียวยาอาการท้องผูกอย่างเหมาะสม ลูกแมวของคุณจะกลับมากระตือรือร้นและมีพลังได้ในเวลาไม่นาน หากคุณไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ อย่าลังเลที่จะปรึกษาสัตวแพทย์

Close modal