IAMS TH
Chicken: The Complete Protein Source for Your Cat
Chicken: The Complete Protein Source for Your Cat

adp_description_block425
แมวกินไก่ได้ไหม?

  • แบ่งปัน

แมวกินไก่ได้ไหม? นับเป็นหนึ่งในคำถามคาใจของทาสแมวส่วนใหญ่ เพราะหลายต่อหลายครั้งที่เจ้าเหมียวมักจะส่งสายตาอ้อนวอนเพื่อขอชิมเนื้อไก่ในจานของคุณ

ไก่เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและเป็นส่วนประกอบหลักในอาหารแมวหลายชนิด อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังบางอย่างที่ทาสแมวควรรู้ก่อนให้เจ้าเหมียวกินเนื้อไก่ ซึ่งในบทความนี้ เราจะมาเปิดเผยเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินไก่ให้ทุกคนได้รู้กัน

ประโยชน์ของการให้แมวกินไก่

ไก่ดีสำหรับแมวหรือไม่? ต้องบอกก่อนว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ ซึ่งหมายความว่าโปรตีนจากสัตว์มีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของพวกเค้า เนื้อไก่จัดเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่หาได้ง่าย มีประโยชน์มากมาย และเป็นที่โปรดปรานของแมวส่วนใหญ่ด้วย

  1. แหล่งโปรตีนคุณภาพเยี่ยม

    ไก่เป็นแหล่งโปรตีนจากสัตว์คุณภาพสูงซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต การพัฒนากล้ามเนื้อ และการบำรุงร่างกายของแมว โปรตีนมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและช่วยให้ขนแข็งแรง

  2. กรดอะมิโนที่จำเป็น

    ไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็น เช่น ทอรีน ซึ่งมีความสำคัญต่อแมวมาก การขาดทอรีนอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรง รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและความบกพร่องในการมองเห็น

  3. อุดมไปด้วยสารอาหาร

    ไก่มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามินบี 6 ไนอาซิน ฟอสฟอรัส และซีลีเนียม สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยให้แมวมีความเป็นอยู่ที่ดีและช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

  4. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ร่างกาย

    เนื้อไก่มีค่าความชื้นสูงโดยธรรมชาติ การกินเนื้อไก่จึงช่วยให้แมวได้รับปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้การกินน้ำในปริมาณที่เหมาะสมยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพไตของแมวด้วย

  5. รสชาติอร่อย

    แมวส่วนใหญ่ชื่นชอบเนื้อไก่ มันจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดใจเจ้าเหมียวเลือกกินหรือกินยาก

    แม้ว่าไก่จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพของแมว แต่ก็ควรให้ในปริมาณที่พอเหมาะและหลีกเลี่ยงการให้เป็นอาหารหลัก โดยคุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณที่เหมาะสมเพิ่มเติมได้

แมวกินไก่ดิบได้หรือไม่?

การให้แมวกินไก่ดิบมีความเสี่ยงสูง เพราะไก่ดิบก็เหมือนกับเนื้อดิบอื่น ๆ ที่อาจปนเปื้อนสารอันตราย เชื้อโรคเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาในระบบทางเดินอาหารอย่างรุนแรง รวมถึงอาจทำให้แมวอาเจียน ท้องเสีย และอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้การให้ไก่ดิบเป็นอาหารหลักยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารด้วย 

เพื่อความปลอดภัยของแมว วิธีที่ดีที่สุดคือปรุงไก่ให้สุก โดยจะช่วยลดการปนเปื้อนของแบคทีเรียและช่วยให้ย่อยได้ง่ายขึ้น

แมวกินกระดูกไก่ได้หรือไม่?

กระดูกไก่ โดยเฉพาะส่วนที่มีขนาดเล็กและเปราะ เช่น ปีกหรือน่อง เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก แมวต่างจากสุนัขตรงที่ระบบย่อยอาหารละเอียดอ่อนกว่าและไม่สามารถย่อยกระดูกได้อย่างปลอดภัย เมื่อแมวเคี้ยวหรือกลืนกระดูกเข้าไปก็อาจนำไปสู่ปัญหาเหล่านี้

  1. มีอาการสำลัก – กระดูกชิ้นเล็ก ๆ อาจติดอยู่ในลำคอแมว ทำให้เกิดการสำลัก ขย้อน และอาจเกิดการอุดตันในระบบทางเดินหายใจได้

  2. เกิดการทิ่มแทง – เศษกระดูกไก่มักจะมีความแหลมคม ซึ่งอาจทิ่มหรือบาดปาก คอ และทางเดินอาหารของแมวได้

  3. เกิดการอุดตัน – เศษกระดูกอาจทำให้เกิดการอุดตันในทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  4. สร้างความบาดเจ็บแก่อวัยวะภายใน – เศษกระดูกแหลมคมสามารถเจาะลำไส้หรือกระเพาะอาหารของแมว ทำให้เกิดการบาดเจ็บภายในและการติดเชื้อได้

    เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียว ควรเอากระดูกออกจากไก่ก่อนเสิร์ฟเสมอ และควรปรุงไก่ให้สุกทุกครั้ง โดยหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องปรุงรส เครื่องเทศ และส่วนผสมที่อาจเป็นอันตราย

ไก่ดิบเป็นอันตรายต่อสุขภาพของแมวหรือไม่?

อย่างที่รู้กันว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ และไก่ดิบก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดี ไม่ผ่านการปรุงแต่งใด ๆ แต่มันก็มีความเสี่ยงร้ายแรงอยู่บ้าง ดังนั้นหากคุณกำลังวางแผนให้แมวกินไก่ดิบ มาติดตามข้อควรรู้ที่น่าสนใจกันก่อนดีกว่า

  1. พยาธิและแบคทีเรีย

    ไก่ดิบอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella) และเชื้อแคมไพโลแบคเตอร์ (Campylobacter) ซึ่งเชื้อเหล่านี้อาจทำให้ทั้งแมวและคุณปวดท้องได้ แม้ว่าแมวจะไม่แสดงอาการ แต่ก็สามารถแพร่เชื้อมาให้คุณได้

  2. กระดูก

    กระดูกไก่ดิบหรือไก่สุกอาจแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในของแมว อีกทั้งยังทำให้แมวมีอาการสำลัก บาดปาก บาดคอ หรืออาจอุดตันในทางเดินอาหาร

  3. ภาวะขาดสารอาหาร

    แม้ว่าไก่จะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี แต่มันมีสารอาหารที่แมวต้องการไม่ครบถ้วน การให้ไก่ดิบเป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหารได้ หากต้องการให้แมวได้รับสารอาหารที่เหมาะสม แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อจัดทำเมนูที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ

วิธีเตรียมไก่ดิบให้แมว

การกินไก่ดิบอาจมีความเสี่ยงมากมาย แต่หากเตรียมการอย่างดีก่อนเสิร์ฟให้เจ้าเหมียว เมนูนี้ก็จะปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อสดใหม่

    ความสดใหม่เป็นปัจจัยที่สำคัญ ตรวจสอบวันหมดอายุและสัญญาณการเน่าเสีย เช่น กลิ่นผิดปกติหรือการเปลี่ยนสี

  2. เตรียมไก่ก่อนเสิร์ฟ

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขียง มีด และเครื่องใช้ของคุณสะอาดและถูกสุขลักษณะเพื่อป้องกันการปนเปื้อน แนะนำให้เตรียมเขียงสำหรับทำอาหารให้แมวโดยเฉพาะ

  3. ทำความสะอาดเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของแบคทีเรีย

    ล้างไก่ให้สะอาดด้วยน้ำเย็นเพื่อขจัดเศษซากต่าง ๆ จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้ากระดาษสะอาด ขั้นตอนนี้จะช่วยลดการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ทำให้อาหารแมวของคุณปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากขึ้น

    ไก่อาจมีข้อดีและประโยชน์มากมาย แต่การให้แมวกินไก่ก็มีข้อควรระวังที่คุณต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ โดยแนะนำให้เอากระดูกออก ปรุงสุกก่อนเสมอ และกำหนดปริมาณให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการให้ไก่ดิบ เนื่องจากมักจะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียและมีสารอาหารไม่ครบถ้วนตามที่แมวต้องการ

    หากคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำ การปรึกษาสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเป็นวิธีที่ดีเสมอ หรือหากคุณไม่เวลาเตรียมอาหาร อาจเลือกให้อาหารสำเร็จรูปคุณภาพดีแทนก็ได้ ขอแนะนำไอแอมส์™ อาหารแมวเกรดพรีเมียมที่มีเนื้อไก่เป็นส่วนประกอบหลัก และผ่านการคิดค้นสูตรให้ตรงตามความต้องการทางโภชนาการในแต่ละวันของแมว มั่นใจได้เลยว่าเจ้าเหมียวจะได้รับอาหารที่สมดุลและปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการให้แมวกินไก่

  1. แมวกินไก่ปรุงสุกได้ไหม?
  2. คุณสามารถให้แมวกินไก่ปรุงสุกได้ แต่ต้องหลีกเลี่ยงการปรุงรส การใช้เครื่องเทศ สมุนไพร หรือน้ำมัน และต้องนำกระดูกออกให้หมด

  3. ลูกแมวกินไก่ได้หรือไม่?
  4. ลูกแมวก็สามารถกินไก่ได้ แต่ควรปรุงสุกและหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อให้เคี้ยวง่าย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีกระดูกเพื่อป้องกันการสำลัก และควรกำหนดปริมาณให้เหมาะสม

  5. แมวกินไก่ต้มได้ไหม?
  6. ไก่ต้มเป็นทางเลือกที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการและย่อยง่าย เหมาะสำหรับแมวที่มีปัญหาทางเดินอาหาร อย่างไรก็ตาม ควรเช็กให้แน่ใจว่าไม่มีกระดูกหลงเหลืออยู่และไม่ต้องปรุงรสหรือเติมแต่งใด ๆ

  7. แมวกินหัวใจไก่และตับไก่ได้ไหม?
  8. แมวสามารถกินหัวใจและตับไก่ได้ในปริมาณที่พอเหมาะ ทั้งสองส่วนเป็นแหล่งสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแมว อย่างไรก็ตาม ไม่ควรให้เป็นอาหารหลักเพียงอย่างเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สมดุลทางโภชนาการ

  • cat article detail banner
    cat article detail banner
    adp_description_block486
    รวมประโยชน์น่ารู้ของอาหารแมวโปรตีนสูง

    • แบ่งปัน

    แมวเหมียวเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับเสือและสิงโต แม้จะมีขนาดตัวเล็กกว่าและดุร้ายน้อยกว่า แต่ยังมีความต้องการทางกายภาพและโภชนาการที่คล้ายคลึงกัน โดยแมวและลูกแมวต้องการโปรตีนมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างเหมาะสม ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีโปรตีนสูงให้กับพวกเค้า

    ลูกแมวต้องการโปรตีนสูงเพื่อเพิ่มพลังงาน การเลือกอาหารให้ลูกแมวจึงต้องพิจารณาจากปริมาณโปรตีนเป็นสำคัญ โดยอาหารแมวส่วนใหญ่จะเลือกใช้โปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์เพื่อให้ได้ปริมาณตรงตามความต้องการในแต่ละวันของลูกแมว แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นมาก แต่ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

    อาหารโปรตีนสูงสำหรับลูกแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนและสมดุลควบคู่ไปกับสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงควรเลือกใช้แหล่งโปรตีนคุณภาพดีและย่อยง่ายด้วย

    กรดอะมิโนที่ควรมีอยู่ในอาหารแมว

    กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยของโปรตีน และมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานในร่างกาย เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น แมวต้องการกรดอะมิโนที่จำเป็นเพียง 2 ชนิดสำหรับการเจริญเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดี โดยในอาหารแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นดังต่อไปนี้

    1. อาร์จินีน – เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดสำหรับแมว หากขาดกรดอะมิโนชนิดนี้ ระดับแอมโมเนียในกระแสเลือดของลูกแมวจะสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการชักและเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางสถานการณ์
    2. ทอรีน – ทอรีนจำเป็นต่อพัฒนาการของดวงตา หัวใจ และการสืบพันธุ์ของลูกแมว แมวสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนชนิดนี้ได้ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งมักจะไม่เพียงพอต่อพัฒนาการที่เหมาะสม ทั้งนี้ลูกแมวที่ขาดทอรีนอาจมีอาการจอประสาทตาเสื่อม กล้ามเนื้อหัวใจพองโต การสืบพันธุ์ล้มเหลว และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความผิดปกติในร่างกาย

    ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับแมว

    แน่นอนว่าอาหารแมวทุกประเภทมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ผู้เลี้ยงก็ยังคงต้องตรวจสอบปริมาณโปรตีนของอาหารแต่ละชนิด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของแมวในแต่ละช่วงวัย

    แมวส่วนใหญ่ต้องการโปรตีนประมาณ 35% – 45% เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี โดยคุณสามารถเช็กปริมาณโปรตีนที่แมวต้องการได้จากตารางด้านล่างนี้

    ช่วงวัย

    ปริมาณโปรตีนโดยเฉลี่ย (%)

    ลูกแมว

    40 – 50%

    แมวโตเต็มวัย

    35 – 40%

    แม่แมวตั้งท้องหรือให้นมลูก

    45 – 50%

    แมวสูงวัย

    35 – 38%

    แหล่งโปรตีนในอาหารแมว

    โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต การเสริมสร้างความแข็งแรง และยังเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมด้วย อาหารสำหรับลูกแมวจึงควรมีโปรตีนสูง ไม่เพียงแต่ในช่วงปีแรกเท่านั้น แต่รวมถึงช่วงวัยเจริญเติบโตด้วย นอกจากปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแล้ว แหล่งที่มาของโปรตีนก็สำคัญเช่นกัน โดยแหล่งโปรตีนที่พบบ่อยที่สุดในอาหารแมว มีดังนี้

    1. โปรตีนจากพืช กลูเตนข้าวโพด กลูเตนข้าวสาลี กากถั่วเหลือง และโปรตีนจากข้าวถือเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่เหมาะสำหรับลูกแมว
    2. โปรตีนจากสัตว์ – เนื่องจากเป็นสัตว์กินเนื้อ อาหารสำหรับแมวจึงต้องมีเนื้อสัตว์คุณภาพดีเป็นส่วนผสมหลัก เพื่อให้แน่ใจว่าแมวจะได้รับปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม โดยแหล่งโปรตีนที่มีความเข้มข้นสูง ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ ปลา และไก่งวง เหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรมองหาในอาหารแมวโปรตีนสูง

    จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวได้รับปริมาณโปรตีนเพียงพอแล้ว?

    แมวทุกตัวต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการโดยรวมที่ดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเค้าได้รับโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการแล้ว? โดยแมวโตทั่วไปควรได้รับโปรตีนประมาณ 35% จากอาหาร อ้างอิงจากข้อกำหนดของ AAFCO (องค์กรควบคุมอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกา) แมวต้องการโปรตีนอย่างน้อย 30% สำหรับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ และโปรตีนประมาณ 26% สำหรับการบำรุงรักษาร่างกาย หากอาหารผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพต่ำหรือมีปริมาณโปรตีนต่ำ อาจทำให้แมวมีอาการอาหารไม่ย่อยและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้

    วิธีคำนวณปริมาณโปรตีนในอาหารแมวแบบเปียก

    เนื่องจาก AAFCO กำหนดปริมาณโปรตีนในรูปแบบของวัตถุแห้ง ดังนั้นหากให้อาหารเปียกแก่ลูกแมวตัวน้อย คุณอาจต้องคำนวณปริมาณโปรตีนด้วยตนเอง โดยสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้

    ขั้นตอนที่ 1 – คำนวณหาปริมาณวัตถุแห้งของอาหารโดยหักลงจากปริมาณความชื้นสูงสุด(%) 

    ขั้นตอนที่ 2 – นำปริมาณโปรตีนดิบ(%) มาหารด้วยปริมาณวัตถุแห้งที่ได้

    ขั้นตอนที่ 3 – คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อให้ได้ปริมาณโปรตีนในรูปแบบร้อยละที่มีอยู่ในวัตถุแห้งของอาหาร

    ตัวอย่าง อาหารมีความชื้น 75% มีโปรตีนดิบ 12%

    1. 100 – 75(ความชื้น) = 25(ปริมาณวัตถุแห้งของอาหาร)
    2. 12(ปริมาณโปรตีนดิบ) / 25 = 0.48
    3. 0.48 x 100 = 48%