IAMS TH
Tips for Feeding Your Senior Cat
Tips for Feeding Your Senior Cat

adp_description_block88
คู่มือการให้อาหารน้องแมวสูงวัย

  • แบ่งปัน

เป็นที่รู้กันดีว่าแมวมีความเป็นตัวของตัวเองสูงและมีความสง่างามชวนให้หลงใหล เจ้าเหมียวขนฟูเหล่านี้มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 12 – 18 ปี แมวที่มีอายุมากกว่า 3 ปีจะถือว่าเป็นแมวโตเต็มวัย และเมื่อมีอายุ 11 ปีขึ้นไปก็จะเข้าสู่ช่วงสูงวัย
 

พฤติกรรมหรือนิสัยการกินของแมวจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ อย่างลูกแมวต้องการปริมาณอาหารมากกว่าเพื่อน เนื่องจากพวกเค้าต้องการพลังงานสูงและอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต แมวโตเต็มวัยต้องการอาหารในปริมาณปานกลางเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอต่อการทำกิจกรรมตลอดวัน ส่วนแมวสูงอายุมักจะมีความอยากอาหารน้อยลง เจ้าของจึงอาจต้องปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของพวกเค้า หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการให้อาหารแมวสูงวัย มาติดตามบทความนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย
 

ทำไมผู้เลี้ยงจึงควรใส่ใจกับการให้อาหารแมวสูงวัยมากเป็นพิเศษ?

พฤติกรรมการกินส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแมวสูงวัย เจ้าของควรดูแลเอาใจใส่เกี่ยวกับโภชนาการกันให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าน้องแมวจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เหมาะสม
 

ผู้เลี้ยงควรทำความเข้าใจก่อนว่าแมวแต่ละช่วงวัยมีความต้องการทางโภชนาการแตกต่างกัน ลูกแมวควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่เหมาะสม แมวโตเต็มวัยควรได้รับการดูแลอย่างใส่ใจเพื่อป้องกันปัญหาน้ำหนักตัวเกิน และแมวสูงวัยควรได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง อาหารของพวกเค้าควรประกอบด้วยโปรตีนคุณภาพสูงและวิตามินอีเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกและข้อต่อ
 

เมื่อน้องแมวมีอายุมากขึ้น การรับรสและการดมกลิ่นก็จะเสื่อมลง นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อปัญหาฟันเสื่อมสภาพซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการเคี้ยวอาหารด้วย เจ้าของสามารถทำตามคำแนะนำในการเลือกอาหารต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้น้องแมวกินอาหารได้ดียิ่งขึ้น

  • เลือกอาหารที่มีชิ้นเล็ก
  • เลือกอาหารที่มีเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย
  • เลือกอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติของอาหาร

เคล็ดลับง่าย ๆ ในการให้อาหารแมวสูงวัย

เนื่องจากแมวสูงวัยมีความอยากอาหารน้อยลง เจ้าของจึงต้องเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเพื่อให้แน่ใจว่าน้องแมวจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน หรืออาจทำตามเคล็ดลับเหล่านี้เพิ่มเติมด้วยก็ได้

  1. ให้อาหารน้อยลงแต่บ่อยขึ้น –

แม้ว่าน้องแมวสูงวัยจะอยากอาหารน้อยลง แต่พวกเค้ายังคงต้องการสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนหรือวิตามินที่จำเป็น สำหรับแมวสูงวัยที่มีสุขภาพแข็งแรง อาจให้อาหาร 3 – 4 ครั้งต่อวัน แต่หากพวกเค้ามีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร ควรให้อาหารอย่างน้อย 10 – 12 ครั้งต่อ

  1. เสิร์ฟอาหารอุณหภูมิห้อง –

แทนที่จะเสิร์ฟอาหารร้อนหรือเย็นเกินไป เจ้าของควรเสิร์ฟอาหารในอุณหภูมิห้องปกติ เนื่องจากประสาทสัมผัสของแมวสูงวัยไม่ได้ดีดังเดิม อาหารอุณหภูมิห้องจะช่วยให้พวกเค้ารับรสและกลิ่นของอาหารได้ดีขึ้น

  1. เลือกอาหารที่มีคุณภาพดี –

อาหารของแมวสูงวัยควรย่อยง่ายและมีสารอาหารที่สำคัญครบถ้วน เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุ
 

ช่วงวัยเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกอาหาร รวมถึงสภาวะสุขภาพ น้ำหนัก ความอยากอาหาร และรูปแบบการใช้ชีวิตของแมวด้วย แนะนำให้ปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อทำความเข้าใจข้อกำหนดด้านสุขภาพ การขาดสารอาหาร และโรคประจำตัวก่อนเลือกอาหารให้กับพวกเค้า

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการให้อาหารน้องแมวสูงวัย

  1. ควรให้อาหารแมวสูงวัยในปริมาณเท่าใด?
  2. แมวสูงวัยส่วนใหญ่ต้องการพลังงานประมาณ 280 – 360 แคลอรี่ต่อวัน แนะนำให้เลือกอาหารคุณภาพดี โดยพิจารณาจากน้ำหนัก สภาวะสุขภาพ และสารอาหารที่ต้องการ

  3. ควรให้อาหารแมวสูงวัยบ่อยแค่ไหน?
  4. ควรให้อาหารแมวสูงวัยในปริมาณเล็กน้อยแต่ให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย 3 – 4 ครั้งต่อวัน หากพวกเค้ามีปัญหาเรื่องการย่อยอาหาร คุณควรให้อาหารปริมาณที่น้อยลงและแบ่งมื้ออาหารออกเป็น 10 – 12 ครั้งต่อวัน

  5. ควรเลือกสูตรอาหารสำหรับแมวสูงวัยโดยเฉพาะใช่หรือไม่?
  6. ใช่ คุณควรเลือกอาหารสูตรสำหรับแมวสูงวัยโดยเฉพาะ เนื่องจากได้รับการคิดค้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการของแมวในช่วงวัยนี้

  7. อาหารสูตรสำหรับแมวสูงวัยมีข้อดีอย่างไร?
  8. ข้อดีของอาหารสำหรับแมวสูงวัยมีดังต่อไปนี้

    • มีสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
    • มีไฟเบอร์สูงเพื่อเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร
    • มีวิตามินเพิ่มมากขึ้นเพื่อเสริมข้อต่อและกระดูกให้แข็งแรง

  9. แมวเข้าสู่ช่วงสูงวัยเมื่อมีอายุเท่าไหร่?
  10. แมวที่มีอายุมากกว่า 11 ปีถือเป็นแมวสูงวัย

  • What You Should Know About Changing Your Cat’s Diet
    What You Should Know About Changing Your Cat’s Diet
    adp_description_block313
    ความสำคัญของต้นอ่อนข้าวสาลีในอาหารแมว

    • แบ่งปัน

    ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นยอดสดของต้นข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวก่อนที่เมล็ดข้าวจะงอก อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นส่วนประกอบทั่วไปที่พบได้ในอาหารแมวส่วนใหญ่ มันอุดมไปด้วยโปรตีน แคโรทีน วิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี โดยแมวมักจะเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีหรือต้นหญ้าเพื่อบรรเทาอาการท้องผูกและอาหารไม่ย่อย เส้นใยที่อยู่ในพืชเหล่านี้ช่วยให้การขับถ่ายราบรื่นขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เลียงควรเช็กให้แน่ใจว่าเจ้าเหมียวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีออร์แกนิกและปลอดยาฆ่าแมลงเท่านั้น

    ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นอันตรายต่อแมวหรือไม่?

    แมวส่วนใหญ่ไม่มีอาการแพ้ต้นอ่อนข้าวสาลี พวกเค้าสามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารจากมันได้อย่างง่ายดาย ต้นอ่อนข้าวสาลีถือเป็นแหล่งสารอาหารชั้นเยี่ยม มีทั้งวิตามิน โปรตีน และสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีไฟเบอร์และซีลีเนียมที่ช่วยให้ลำไส้สุขภาพดีด้วย อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัวน้อย คุณควรสังเกตความผิดปกติที่บ่งบอกถึงอาการแพ้หลังการบริโภคต้นอ่อนข้าวสาลี โดยสามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือนเหล่านี้

    1. น้ำลายไหลมากผิดปกติ
    2. มีตุ่มแดง
    3. ขนร่วงมากผิดปกติ
    4. มีผื่นแดง

    ทั้งนี้ผู้เลี้ยงควรให้ต้นอ่อนข้าวสาลีกับเจ้าเหมียวในปริมาณที่เหมาะสม โดยต้องให้น้อยกว่า 10% ของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับต่อวัน หลีกเลี่ยงการให้ทุกวัน แต่สามารถให้เป็นวันเว้นวันได้

    ประโยชน์ของต้นอ่อนข้าวสาลี

    เป็นที่รู้กันดีว่าต้นอ่อนข้าวสาลีมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารและขับถ่าย แต่นี่ไม่ใช่ข้อดีเพียงอย่างเดียว ต้นอ่อนข้าวสาลียังมีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้าเหมียวอีกมากมาย ดังนี้

    1. ช่วยลดน้ำหนัก – แมวบ้านทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์อย่างในอดีต พวกเค้าจึงเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น การให้ต้นอ่อนข้าวสาลีแทนการให้ขนมตามปกติจะช่วยให้การควบคุมน้ำหนักของแมวดียิ่งขึ้น
    2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน – หนึ่งในประโยชน์ของต้นอ่อนข้าวสาลีคือคุณค่าทางโภชนาการ มันถือเป็นแหล่งสารอาหารชั้นเยี่ยม เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน ไฟเบอร์ และโปรตีน ซึ่งส่งผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของแมว
    3. เสริมสุขภาพช่องปากและฟัน – ต้นอ่อนข้าวสาลีเป็นของว่างที่ดีต่อสุขภาพเนื่องจากเป็นอาหารออร์แกนิก ผู้เลี้ยงสามารถปล่อยให้เจ้าเหมียวเคี้ยวเล่นได้โดยไม่ต้องกังวล ไม่ทำให้ฟันผุหรือฟันแตก นอกจากนี้ต้นข้าวสาลีอ่อนยังช่วยเสริมสุขภาพช่องปากและฟันอีกด้วย 
    4. ชะลอวัย – สารอาหารที่มีอยู่ในต้นอ่อนข้าวสาลีมีส่วนช่วยในการต่อต้านริ้วรอย และยังมีคลอโรฟิลล์ที่เป็นสารช่วยเพิ่มปริมาณเลือด ทำให้แมวของคุณดูอ่อนกว่าวัย
    5. ช่วยให้ไตแข็งแรง – แมวต้องพึ่งพาไฟเบอร์มากขึ้นเมื่อมีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร หากพบว่าแมวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีบ่อยขึ้น แสดงว่าพวกเค้าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร การย่อยอาหาร หรืออาจมีปัญหาเกี่ยวกับไต แนะนำให้พาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุดเพื่อตรวจเช็กการทำงานของระบบทางเดินอาหารและไต
    6. เสริมการมองเห็น – ต้นอ่อนข้าวสาลีมีวิตามินเอ วิตามินอี และวิตามินซี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการมองเห็นและบำรุงดวงตา

    ข้อเสียของต้นอ่อนข้าวสาลี

    แน่นอนว่าต้นอ่อนข้าวสาลีไม่ได้มีเพียงข้อดีเท่านั้น มันมีข้อควรระวังและข้อเสียด้วยเช่นกัน หากปล่อยให้เจ้าเหมียวเคี้ยวต้นอ่อนข้าวสาลีมากเกินไป อาจเกิดผลกระทบดังนี้ได้

    1. ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม เนื่องจากแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ
    2. อาจมีอาการท้องเสียและอาเจียน หากเจ้าเหมียวท้องเสียและอาเจียนอย่างต่อเนื่อง ควรรีบพาไปพบสัตวแทพย์ในทันที

    หญ้าแมว vs ต้นอ่อนข้าวสาลี

    ทาสแมวส่วนใหญ่สับสนระหว่างหญ้าแมวกับต้นอ่อนข้าวสาลี หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น ไม่ต้องกังวลไป เรามีเคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณแยกแยะความแตกต่างของพืชทั้งสองชนิดนี้ได้

    แบรนด์อาหารแมวส่วนใหญ่มักใช้คำว่า “หญ้าแมว” กับส่วนประกอบที่เป็นพืชทุกชนิด มันอาจเป็นหญ้าชนิดใดก็ได้ ตั้งแต่ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ไปจนถึงต้นอ่อนข้าวสาลี หากคุณพบข้อความที่ระบุว่ามีหญ้าแมวบนผลิตภัณฑ์อาหารแมว แนะนำให้อ่านฉลากอีกครั้งเพื่อเช็กให้แน่ใจว่าเป็นส่วนประกอบชนิดใดและเลือกใช้แบบออร์แกนิกหรือไม่ 

    ทั้งนี้คุณสามารถให้ต้นอ่อนข้าวสาลีควบคู่ไปกับอาหารมื้อหลักได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณให้เหมาะสมและควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจให้ต้นอ่อนข้าวสาลีกับแมวที่บ้าน

Close modal