IAMS TH
Kitten Basics: Enriched Environments
Kitten Basics: Enriched Environments

adp_description_block431
ทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับการเลี้ยงแมว

  • แบ่งปัน

ทาสแมวทุกคนต่างก็อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกแมวตัวน้อยของตัวเอง และหนึ่งในนั้นคือการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตและเสริมสร้างสุขภาพที่ดี สิ่งนี้หมายรวมถึงการจัดหากิจกรรม ของเล่น หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยกระตุ้นสภาพร่างกายและจิตใจพวกเค้าด้วย นอกจากนี้สภาพแวดล้อมที่ดียังช่วยป้องกันปัญหาทางพฤติกรรม เช่น การข่วน การกัด และการทำลายข้าวของได้อีกด้วย

 

การสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกแมวมีความสุขและสุขภาพดี
 

เพื่อให้เจ้าตัวน้อยของคุณมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้กันได้เลย

  1. การออกกำลังกายและการเล่น – การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับน้องแมวทุกช่วงวัย ควรหาเวลาให้พวกเค้าได้วิ่ง กระโดด และเล่นตามใจชอบบ้าง โดยคุณสามารถใช้ของเล่นเสริมพัฒนาการ เช่น ลูกบอล ตุ๊กตา เลเซอร์ หรือคอนโดแมว เพื่อกระตุ้นให้ลูกแมวอยากเล่นและยอมเคลื่อนไหวร่างกายมากยิ่งขึ้น

  2. พื้นที่แห่งความสนุกและปลอดภัย – ควรจัดเตรียมพื้นที่สำหรับเล่นและพักผ่อนให้กับลูกแมว อาจจัดเตรียมเสาลับเล็บและข้าวของอื่น ๆ ที่พวกเค้าสามารถใช้สร้างอาณาเขตเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้คุณยังสามารถนำกล่องลังหรืออุโมงค์แมวมาไว้ในบ้าน เพื่อเปิดโอกาสให้พวกเค้าได้เล่น ได้สำรวจ และใช้เป็นที่ซ่อนตัว 

  3. ของเล่นที่ช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส – น้องแมวมีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ทั้งการมองเห็นและการดมกลิ่น เจ้าของจึงควรจัดหาของเล่นเพื่อช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสของพวกเค้า อาจใช้ของเล่นที่มีพื้นผิวต่างกันหรือหาต้นแคทนิปมาให้แทนก็ได้ นอกจากของเล่นและอุปกรณ์แล้ว คุณอาจให้อาหารหลาย ๆ ชนิด เพื่อให้ลูกแมวได้รู้จักกับรสชาติและเนื้อสัมผัสใหม่ ๆ

  4. การเข้าสังคม – แมวเป็นสัตว์สังคมและเติบโตได้ดีเมื่อมีเพื่อน หากคุณมีลูกแมวเพียงตัวเดียว อาจใช้ตุ๊กตาสัตว์หรือกระจกเป็นเพื่อนแก้เหงาให้พวกเค้า สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าตัวน้อยได้รับการกระตุ้นทางสังคมที่จำเป็น แต่หากคุณมีแมวมากกว่าหนึ่ง ควรจัดพื้นที่ในบ้านให้เหมาะสมและเตรียมอุปกรณ์จำเป็นให้เพียงพอสำหรับน้องแมวทุกตัว โดยอาจจัดให้มีพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันและเตรียมของเล่นหลากหลายชนิดเอาไว้ให้พร้อม 
     

    นอกจากการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว คุณยังสามารถจัดหากิจกรรมหรือตัวช่วยต่าง ๆ เพื่อให้ลูกแมวมีส่วนร่วมเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เราแนะนำมีดังนี้

     

  5. ฝึกทำตามคำสั่ง – ลองฝึกสอนคำสั่งพื้นฐาน เช่น การนั่งหรืออยู่นิ่ง การฝึกจะช่วยให้ลูกแมวมีสมาธิและความมั่นใจมากขึ้น

  6. เลือกใช้ชามอาหารแบบพิเศษ – ชามอาหารประเภทนี้จะช่วยให้ลูกแมวเพลิดเพลินกับการกินมากยิ่งขึ้น และช่วยป้องกันปัญหาลูกแมวกินเร็วเกินไปได้อีกด้วย

  7. ที่นั่งริมหน้าต่าง – น้องแมวส่วนใหญ่ชอบชมวิวนอกบ้าน เพราะมันช่วยให้พวกเค้าเพลิดเพลินและได้สำรวจสิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน

    การเลี้ยงน้องแมวในสภาพแวดล้อมที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากจะช่วยให้พวกเค้ามีสุขภาพดีและมีความสุขแล้ว ยังป้องกันปัญหาพฤติกรรมได้อีกด้วย ยิ่งถ้าคุณฝึกทักษะและการเข้าสังคมอย่างเหมาะสม พวกเค้าก็จะสามารถปรับตัวได้ดีและมีความสุขในการใช้ชีวิตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นอย่าลืมทำความเข้าใจความต้องการของลูกแมวและจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเอาไว้ให้พร้อม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการเลี้ยงแมว

  1. อะไรคือการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการเลี้ยงแมว?  
  2. มันคือการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งอาจรวมถึงการเตรียมอุปกรณ์ เช่น คอนโดแมว เสาลับเล็บ ของเล่นชนิดต่าง ๆ และที่หลบซ่อนตัว นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้น้องแมวได้ปลดปล่อยสัญชาตญาณตามธรรมชาติด้วย เช่น การล่าเหยื่อและการสำรวจ

     

  3. จะช่วยให้ลูกแมวคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างไรบ้าง?  
  4. ค่อย ๆ แนะนำให้ลูกแมวรู้จักพื้นที่รอบตัว โดยปล่อยให้พวกเค้าได้สำรวจตามใจชอบ และอาจใช้การกระตุ้นเชิงบวก เช่น การให้ขนมหรือพูดชมเชย ทั้งนี้เจ้าของควรเตรียมพื้นที่ส่วนตัวและปลอดภัยให้พวกเค้าด้วย  โดยอาจจะเลือกเป็นเบาะนอน กระเป๋าแมว หรือกล่องลัง คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้

     

  5. ลูกแมวใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่นานแค่ไหน?
  6. ลูกแมวส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ในช่วงเวลานี้ สิ่งสำคัญคือต้องจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยและสะดวกสบายเพื่อให้ลูกแมวได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ และสร้างกิจวัตรประจำวัน ความสม่ำเสมอและความอดทนเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ลูกแมวรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน

     

  7. ลูกแมวต้องการความสนใจมากน้อยแค่ไหน?
  8. ลูกแมวต้องการความเอาใจใส่และการดูแลมากเป็นพิเศษ เนื่องจากร่างกายของพวกเค้ายังเติบโตและพัฒนาได้ไม่เต็มที่ พวกเค้าต้องการอาหารที่ดี การดูแล การเล่น การเข้าสังคม และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ โดยแนะนำให้ใช้เวลาร่วมกับพวกเค้าอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้คุณสามารถปรึกษาสัตวแพทย์เกี่ยวกับการดูแลลูกแมวตามช่วงวัยหรือความต้องการที่เฉพาะเจาะจงได้

     

  • cat article detail banner
    cat article detail banner
    adp_description_block4
    รวมประโยชน์น่ารู้ของอาหารแมวโปรตีนสูง

    • แบ่งปัน

    แมวเหมียวเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับเสือและสิงโต แม้จะมีขนาดตัวเล็กกว่าและดุร้ายน้อยกว่า แต่ยังมีความต้องการทางกายภาพและโภชนาการที่คล้ายคลึงกัน โดยแมวและลูกแมวต้องการโปรตีนมากกว่าสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างเหมาะสม ผู้เลี้ยงจึงควรเลือกอาหารแมวที่มีโปรตีนสูงให้กับพวกเค้า

    ลูกแมวต้องการโปรตีนสูงเพื่อเพิ่มพลังงาน การเลือกอาหารให้ลูกแมวจึงต้องพิจารณาจากปริมาณโปรตีนเป็นสำคัญ โดยอาหารแมวส่วนใหญ่จะเลือกใช้โปรตีนทั้งจากพืชและสัตว์เพื่อให้ได้ปริมาณตรงตามความต้องการในแต่ละวันของลูกแมว แม้ว่าโปรตีนจะเป็นสารอาหารที่จำเป็นมาก แต่ควรปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนตัดสินใจเลือกซื้ออาหาร เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ

    อาหารโปรตีนสูงสำหรับลูกแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนและสมดุลควบคู่ไปกับสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงควรเลือกใช้แหล่งโปรตีนคุณภาพดีและย่อยง่ายด้วย

    กรดอะมิโนที่ควรมีอยู่ในอาหารแมว

    กรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อยของโปรตีน และมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานในร่างกาย เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เลี้ยงชนิดอื่น แมวต้องการกรดอะมิโนที่จำเป็นเพียง 2 ชนิดสำหรับการเจริญเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดี โดยในอาหารแมวควรมีกรดอะมิโนที่จำเป็นดังต่อไปนี้

    1. อาร์จินีน – เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดสำหรับแมว หากขาดกรดอะมิโนชนิดนี้ ระดับแอมโมเนียในกระแสเลือดของลูกแมวจะสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการชักและเป็นอันตรายถึงชีวิตในบางสถานการณ์
    2. ทอรีน – ทอรีนจำเป็นต่อพัฒนาการของดวงตา หัวใจ และการสืบพันธุ์ของลูกแมว แมวสามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนชนิดนี้ได้ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งมักจะไม่เพียงพอต่อพัฒนาการที่เหมาะสม ทั้งนี้ลูกแมวที่ขาดทอรีนอาจมีอาการจอประสาทตาเสื่อม กล้ามเนื้อหัวใจพองโต การสืบพันธุ์ล้มเหลว และมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดความผิดปกติในร่างกาย

    ปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับแมว

    แน่นอนว่าอาหารแมวทุกประเภทมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบหลัก แต่ผู้เลี้ยงก็ยังคงต้องตรวจสอบปริมาณโปรตีนของอาหารแต่ละชนิด เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของแมวในแต่ละช่วงวัย

    แมวส่วนใหญ่ต้องการโปรตีนประมาณ 35% – 45% เพื่อเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดี โดยคุณสามารถเช็กปริมาณโปรตีนที่แมวต้องการได้จากตารางด้านล่างนี้

    ช่วงวัย

    ปริมาณโปรตีนโดยเฉลี่ย (%)

    ลูกแมว

    40 – 50%

    แมวโตเต็มวัย

    35 – 40%

    แม่แมวตั้งท้องหรือให้นมลูก

    45 – 50%

    แมวสูงวัย

    35 – 38%

    แหล่งโปรตีนในอาหารแมว

    โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต การเสริมสร้างความแข็งแรง และยังเป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมด้วย อาหารสำหรับลูกแมวจึงควรมีโปรตีนสูง ไม่เพียงแต่ในช่วงปีแรกเท่านั้น แต่รวมถึงช่วงวัยเจริญเติบโตด้วย นอกจากปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมแล้ว แหล่งที่มาของโปรตีนก็สำคัญเช่นกัน โดยแหล่งโปรตีนที่พบบ่อยที่สุดในอาหารแมว มีดังนี้

    1. โปรตีนจากพืช กลูเตนข้าวโพด กลูเตนข้าวสาลี กากถั่วเหลือง และโปรตีนจากข้าวถือเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่เหมาะสำหรับลูกแมว
    2. โปรตีนจากสัตว์ – เนื่องจากเป็นสัตว์กินเนื้อ อาหารสำหรับแมวจึงต้องมีเนื้อสัตว์คุณภาพดีเป็นส่วนผสมหลัก เพื่อให้แน่ใจว่าแมวจะได้รับปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม โดยแหล่งโปรตีนที่มีความเข้มข้นสูง ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อแกะ ปลา และไก่งวง เหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรมองหาในอาหารแมวโปรตีนสูง

    จะรู้ได้อย่างไรว่าแมวได้รับปริมาณโปรตีนเพียงพอแล้ว?

    แมวทุกตัวต้องการโปรตีนเพื่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการโดยรวมที่ดี แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเค้าได้รับโปรตีนเพียงพอต่อความต้องการแล้ว? โดยแมวโตทั่วไปควรได้รับโปรตีนประมาณ 35% จากอาหาร อ้างอิงจากข้อกำหนดของ AAFCO (องค์กรควบคุมอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงแห่งอเมริกา) แมวต้องการโปรตีนอย่างน้อย 30% สำหรับการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ และโปรตีนประมาณ 26% สำหรับการบำรุงรักษาร่างกาย หากอาหารผลิตจากแหล่งโปรตีนคุณภาพต่ำหรือมีปริมาณโปรตีนต่ำ อาจทำให้แมวมีอาการอาหารไม่ย่อยและสูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้

    วิธีคำนวณปริมาณโปรตีนในอาหารแมวแบบเปียก

    เนื่องจาก AAFCO กำหนดปริมาณโปรตีนในรูปแบบของวัตถุแห้ง ดังนั้นหากให้อาหารเปียกแก่ลูกแมวตัวน้อย คุณอาจต้องคำนวณปริมาณโปรตีนด้วยตนเอง โดยสามารถทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้

    ขั้นตอนที่ 1 – คำนวณหาปริมาณวัตถุแห้งของอาหารโดยหักลงจากปริมาณความชื้นสูงสุด(%) 

    ขั้นตอนที่ 2 – นำปริมาณโปรตีนดิบ(%) มาหารด้วยปริมาณวัตถุแห้งที่ได้

    ขั้นตอนที่ 3 – คูณผลลัพธ์ด้วย 100 เพื่อให้ได้ปริมาณโปรตีนในรูปแบบร้อยละที่มีอยู่ในวัตถุแห้งของอาหาร

    ตัวอย่าง อาหารมีความชื้น 75% มีโปรตีนดิบ 12%

    1. 100 – 75(ความชื้น) = 25(ปริมาณวัตถุแห้งของอาหาร)
    2. 12(ปริมาณโปรตีนดิบ) / 25 = 0.48
    3. 0.48 x 100 = 48%